ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 46.57 จุดหลังราคาน้ำมันดิบพุ่งแรง

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (12 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มสภาพคล่องกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเมื่อราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นเหนือระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 46.57 จุด หรือ 0.38% แตะระดับ  12,110.24 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 11.88 จุด หรือ 0.90% แตะระดับ 1,308.77 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดขยับลง 11.89 จุด หรือ 0.53% แตะระดับ 2,243.87 จุด
          ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.56 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 5 ต่อ 3 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.12 พันล้านหุ้น
          สตีเฟ่น โกลด์แมน นักวิเคราะห์จากบริษัทวีเด็น แอนด์ โค กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้นักลงทุนขานรับข่าวที่ว่าเฟดได้ประกาศใช้มาตรการคลี่คลายวิกฤการณ์ในตลาดสินเชื่อ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการธนาคารเป็นวงเงินสูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ และการทำสัญญาสว็อปค่าเงินกับธนาคารกลางยุโรป"
          "แต่ขณะนี้นักลงทุนเริ่มกังวลว่ามาตรการดังกล่าวแข็งแกร่งพอที่จะพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้หรือไม่ โดยนักลงทุนจับตาดูยอดค้าปลีกและราคาผู้บริโภคของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ มากเป็นพิเศษ" โกลด์แมนกล่าว
          นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นเหนือระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจอยู่ในระยะ Stagflation แล้ว (Stagflation คือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงแต่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น) และอาจทำให้เฟดลังเลที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
          ทั้งนี้ หุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มธนาคารดิ่งลงหลังจากทะยานขึ้นขานรับมาตรการเฟดเมื่อวันอังคาร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.8% หุ้นซิตี้กรุ๊ป รูดลง 1.3% หุ้นวาโชเวียร่วงลง 5.8% และหุ้นเวลล์ ฟาร์โก รูดลง 4.2%
          หุ้นคาร์เตอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 3.7% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายจะพุ่งขึ้น 20% ภายในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้