นายชาญณรงค์ สนธิอัชชรา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบัญชี-การเงิน บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรปี 65 เติบโตไม่ต่ำกว่า 50% เป็นไปตามธุรกิจโลจิสติกส์ โดยการให้บริการขนส่งยังคงขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องจากดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ (Shanghai Containerized Freight Index : SCFI) ยังเป็นขาขึ้นอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทำให้การขนส่งเป็นไปได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ ยังคาดว่าอุตสาหกรรมขนส่งของไทยยังจะเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิดที่เริ่มบรรเทาลงส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น,การบังคับใช้ RCEP ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค.65 ทำให้การนำเข้าส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศคล่องตัวมากขึ้น,ปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่มีความล่าช้าและเปราะบางส่งผลต่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมขนส่งของประเทศไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงภายนอกหลายประการ เช่น สงครามทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ,อัตราเงินเฟ้อจากประเทศคู่ค้าที่อาจจะส่งต่อผ่านสินค้าต่างๆ หรือปัญหาการแข่งขันเชิงราคาหลังจากที่ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทมีความได้เปรียบด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 28 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light ทำให้มีความคล่องตัวและไม่เกิดต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น
ในปี 65 บริษัทฯ มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก ดังนี้ 1. ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งมุ่งเน้นขยายการให้บริการในธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยกลยุทธ์ในการขยายองค์กรประกอบด้วย การเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เท่าทันยุคดิจิตอลด้วยเครื่องมือต่างๆ
2. ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง โดยบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้าด้วยการให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่รับสินค้าจากธุรกิจขนส่งที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้บริการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโกดังสินค้าขนาด 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับการพักสินค้าและมีแผนจะขยายเป็น 3,500 ตารางเมตรในปี 65 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้าเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดการต่างๆ โดยคาดว่าการร่วมมือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/65
3. บริษัทฯ เสริมความมั่นคงของการดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ ด้วยเล็งเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมขนส่งและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการเข้าลงทุนในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาหนุนการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงอีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่งได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ธุรกิจ Non Logistic ประกอบด้วย บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 52.8% ยังเติบโตดี รวมถึงจะเริ่มรับรู้กำไรจากบริษัท ชีส ดิจิตอล เน็ตเวิร์ค จำกัด (CDN) ที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 25% เข้ามาด้วย โดยเบื้องต้นคาดว่า CDN จะมีกำไรอยู่ที่ 80 ล้านบาทในปีนี้ ซึ่งจะรับรู้เข้ามาตามสัดส่วนการถือหุ้น หรือคิดเป็นราว 20 ล้านบาท
นายชาญณรงค์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 คาดจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 4/64 โดยในเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ผ่านมา ปริมาณการส่งสินค้าก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะได้รับผลกระทบจากช่วงวันหยุดตรุษจีน
บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ไม่เกิน 30 ล้านบาท โดยหลักๆ จะใช้ลงทุนคลังสินค้า เพื่อรองรับงานใหม่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกัญชงด้วย ซึ่งหากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป