"ทริส"จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ KTC ที่ระดับ “A-" แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 13, 2008 08:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของ บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" พร้อมแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" 
โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนความสามารถของคณะผู้บริหาร ตลอดจนระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถดำรงสถานภาพผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกลดทอนลงบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทบัตรกรุงไทยจะสามารถรักษาสถานภาพผู้นำทางการตลาดในธุรกิจบัตรเครดิตเอาไว้ได้แม้ว่าจะมีภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและจะสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดีในขณะที่มีการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อเพิ่มขึ้นทั้งจากบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล (รวมถึงสินเชื่อบุคคลพร้อมใช้) และสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยฐานทุนที่เพียงพอรวมทั้งระบบการดำเนินงานที่ดีและระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีพอคาดว่าจะช่วยบริษัทลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจได้ในอนาคต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตร 12.3% ณ เดือนธันวาคม 2550 ด้วยขนาดสินเชื่อบัตรเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่ไม่ใช่ธนาคารทั้ง 14 ราย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านธุรกิจ ได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นสำหรับการกำหนดคุณสมบัติของผู้ถือบัตร การกำหนดอัตราขั้นต่ำในการจ่ายคืนหนี้ การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล
การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และภาวะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ล้วนมีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 บริษัทมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 44,922 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% จาก 40,126 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 โดยยอดสินเชื่อคงค้างดังกล่าวประกอบด้วยสินเชื่อจากบัตรเครดิต 68% สินเชื่อส่วนบุคคล 26% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 5% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 1%
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทบัตรกรุงไทยประกาศกำไรสุทธิสำหรับงวดปี 2550 จำนวน 521 ล้านบาท โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 8.95% ในปี 2550 จาก 7.76% ในปี 2549 แต่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 1.19% จาก 1.23% ในปี 2549 ในส่วนของอัตราสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ซึ่งสูงขึ้นจาก 3.2% ของปี 2549 และ 3.1% ของปี 2548 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากสาเหตุ 2 ประการคือ การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อค้างชำระจากสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย และกลยุทธ์ของบริษัทที่กระจายการขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อไปยังสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นซึ่งมีระดับความเสี่ยงของสินเชื่อที่มากขึ้นในขณะที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น บริษัทมีการตั้งสำรองหนี้สูญเพิ่มสูงขึ้นจาก 1,006 ล้านบาทในปี 2549 เป็น1,726 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2550 อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นเป็น 3.84% ณ สิ้นปี 2550 จาก 2.51% ณ สิ้นปี 2549 การขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อมีผลทำให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อทั้งสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 13.0% ณ สิ้นปี 2550 จาก 13.6% ณ สิ้นปี 2549 ในขณะที่อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลงมาอยู่ที่ 13.2% จาก 14.2% อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนก็สะท้อนอัตราการก่อหนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 6.33 เท่า จาก 5.94 เท่า ณ สิ้นปี 2549
สถานะสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทบัตรกรุงไทยอยู่ในเกณฑ์เพียงพอ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 แหล่งเงินทุนของบริษัทมาจากทั้งสถาบันการเงินและตลาดตราสารหนี้ โดยโครงสร้างเงินทุนประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น 34% เงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งรวมเงินกู้ร่วม 33% และหุ้นกู้ 33% นอกจากนั้น บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่ออีกจำนวน 13.03 พันล้านบาทที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้เป็นอย่างมาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 ยอดรวมหนี้คงค้างของบริษัทที่มีกับธนาคารกรุงไทยมีเพียง 2.8 พันล้านบาท หรือ 21.5% ของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราการใช้วงเงินดังกล่าวค่อนข้างต่ำเนื่องจากมีนโยบายที่จะเก็บไว้เป็นแหล่งเงินทุนสำรองสุดท้าย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ