บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 65 เป็นบวกทุกบริษัท เนื่องจากการคลายล็อกดาวน์ และราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ ขณะที่ต้นทุนสินค้าและพลังงานที่สูงขึ้นส่วนหนึ่งถูก Pass through ไปที่ผู้บริโภค
โดย SSSG ของกลุ่มค้าปลีกที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ SSSG ของกลุ่มค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านชะลอลงแต่ยังเป็นบวกค่อนข้างมาก โดย SSSG ร้านเซเว่นฯ มีการฟื้นตัวขึ้นชัดเจนที่สุดในกลุ่มและคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย จะส่งผลให้กำไรกลับมาเติบโตได้ดีใน 1Q65 เราเลือก CPALL (ราคาเป้าหมาย 79 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก
ทั้งนี้ จากการอัพเดทกับบริษัทในกลุ่มค้าปลีกพบว่า SSSG ในเดือน ม.ค.-ก.พ. เป็นบวกทุกบริษัท โดยกลุ่มค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer staple) ได้แก่ เซเว่นฯ บิ๊กซี และ แม็คโคร มี SSSG ฟื้นตัวดีขึ้นจาก Q4/64 เนื่องจากคลายล็อกดาวน์และฐานต่ำในปีก่อนที่ SSSG ติดลบ อีกทั้งได้อานิสงส์ส่วนหนึ่งจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ SSSG กลุ่มค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับการปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน (Consumer discretionary) ได้แก่ โฮมโปร โกลบอล และ ดูโฮม ชะลอลงจาก Q4/64 จากฐานสูงในปีก่อนและราคาเหล็กชะลอลง อย่างไรก็ดี SSSG ของกลุ่มดังกล่าวยังคงเป็นบวกในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดีจากการที่มีการทยอยปรับราคาขายสินค้าบางส่วน
SSSG ของร้านเซเว่นฯ ฟื้นตัวชัดเจนที่สุดในกลุ่มค้าปลีก โดย SSSG เป็นบวก 10-11% เนื่องจากฐานต่ำในช่วง 1Q64 ซึ่งติดลบ 17.1% อีกทั้งการกลับมาเปิดร้านได้ตามปกติ การเปิดเทอม และการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะที่แม็คโครยังมี SSSG ดีต่อเนื่องโดยเป็นบวก 4-6% บิ๊กซีมี SSSG ฟื้นจากติดลบ 21.6% ใน 1Q64 เป็นบวก 3-4%
SSSG ของดูโฮมยังเป็นบวกมากที่สุดที่ 26-28% แต่ลดลงจาก 40.6% ใน 4Q64 ขณะที่โกลบอลและโฮมโปรมี SSSG ลดลงเช่นกันเป็น 8-9% และ 2-3% ตามลำดับ
ส่วนผลกระทบจำกัดจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยต้นทุนพลังงานและต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นถูก Pass through ได้ส่วนหนึ่งด้วยการปรับเพิ่มราคาสินค้า ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและกระจายสินค้าเพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เราประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน Q1/65 ของร้านเซเว่นฯ MAKRO และ HMPRO เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และยอดขายฟื้นตัวขึ้นทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง แต่แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของ GLOBAL และ DOHOME ลดลงจากฐานสูงในปีก่อนและราคาเหล็กชะลอ
แนวโน้มกำไร 1Q65 เติบโต YoY ยกเว้น GLOBAL, DOHOME เราคาดว่ากำไร 1Q65 ของบริษัทในกลุ่มค้าปลีกทุกบริษัทเพิ่มขึ้น YoY ยกเว้น GLOBAL และ DOHOME ซึ่งฐานกำไรสูงในช่วง 1Q64 และอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มจะลดลง ส่วนบริษัทอื่นๆ คาดว่ากำไรจะเติบโตจากทั้งยอดขายเพิ่มขึ้นตาม SSSG ที่ฟื้นตัว การขยายสาขา และอัตรากำไรเพิ่มขึ้น โดยเราเลือก CPALL เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะจากการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคซึ่งส่งผลบวกต่อทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (เซเว่นฯ) ธุรกิจค้าส่ง (MAKRO) และธุรกิจค้าปลีก (Lotus?s) ขณะที่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า บมจ.สยามแม๊คโคร (MAKRO) ประเมินราคาหุ้น Laggard โดยเป้าพื้นฐาน 50 บาท โดยประเมินแนวรับ 40.5 บาท / แนวต้าน 42.0 - 42.5 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 44 บาท (Stop loss 40 บาท)
ส่วน บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) ฝ่ายวิจัยฯคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปีนี้โต +83% YoY ทั้งผลจากการรวมรายได้ Lotus เข้ามา และการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศรวมทั้งผลของเงินเฟ้อโดยเฉพาะในหมวดอาหาร