โบรกฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อกรณีที่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) แจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ดำเนินการในโครงการยาดานา จาก TotalEnergies เป็น บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PTTEPI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่ม PTTEP และเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการ โดยมีผลวันที่ 20 ก.ค.65
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นโครงการยาดานา หลัง TotalEnergies ถอนตัว ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้นโครงการยาดานาใหม่ ที่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ร่วมทุนโครงการแล้ว จะเป็นดังนี้ Unocal Myanmar Offshore Company Limited (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Chevron) ถือ 41.10% (เดิม 28.26%), PTTEPI (บริษัทย่อยของ PTTEP) ถือหุ้น 37.08% (เดิม 25.5%) และเป็นผู้ดำเนินการ และ Myanmar Oil and Gas Enterprise (MOGE) ถือ 21.81% (เดิม 15%) ทั้งนี้มีผลตั้งแต่ 20 ก.ค.65 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ มองว่า PTTEP จะมีความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้น โดยโครงการยาดานามีปริมาณขายเฉลี่ย 770 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งก๊าซเข้าไทยราว 11% ของความต้องการใช้ก๊าซในไทย และส่งเข้าเมียนมา 50% ของความต้องการใช้ก๊าซของเมียนมา ด้านเงินลงทุน ทาง PTTEP มีความพร้อมอยู่แล้ว ประกอบดับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปีนี้แข็งแกร่งจากราคาขายน้ำมันและก๊าซเพิ่มขึ้น
เชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อ PTTEP จังหวะอ่อนตัว ให้ราคาพื้นฐานที่ 194 บาท โดยฝ่ายวิจัยฯ DBS ประเมิน ESP ปีนี้เติบโตกว่า 90% ณ ราคาปัจจุบันมี P/E ปี 65 ต่ำเพียง 8 เท่า และ P/BV 1.2 เท่า คาด DY ประมาณ 3%
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน มอง slightly positive ต่อการเข้าเป็นผู้ดำเนินการแหล่งยาดานาของ PTTEP เพราะไม่มีภาระเงินลงทุนในการได้สัดส่วนเงินลงทุนของ Total, มีโอกาสที่การดำเนินการผลิตจะต่อเนื่อง เพราะใช้บุคลากรเดิมจาก Total และบริษัทมีประสบการณ์ในการเป็นผู้ดำเนินโครงการอยู่แล้ว เช่น แหล่งซอติก้าในเมียนมา
ขณะที่ CAPEX และ OPEX ที่ต้องใช้เพิ่มรวมราว 8-9 ล้านเหรียญฯ/ปี คิดเป็นราว 0.16-0.18% ของแผนลงทุน 5 ปี (65-69) ของ PTTEP ไม่ได้เป็นภาระอย่างมีนัยสำคัญ และมี upside ต่อกำไรปกติปี 65-66 ราว 1% และ 2% ตามลำดับ และเป็น upside ต่อปี 65 ราว 1.2 บาท/หุ้น หรือราว 0.8%
ทั้งนี้ แม้บริษัทจะได้สัดส่วนเงินลงทุนในโครงการยาดานาเพิ่ม แต่จะไม่มีการบันทึกสินทรัพย์เพิ่มเข้ามา
คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น PTTEP ที่ 143.00 บาท/หุ้น (อยู่ระหว่างปรับประมาณการขึ้น Tentative TP22F = 163.50) เราอยู่ระหว่างปรับประมาณการกำไรปกติปี 65-66 ของ PTTEP สะท้อนราคาพลังงานที่สูงกว่าคาด จาก supply ที่ตึงตัวมากกว่าคาด เพราะผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน เรามองราคาซื้อขายปัจจุบันของ PTTEP ยังไม่ได้สะท้อนกำไรที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดในปีนี้ ตามอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และส่งให้ราคาก๊าซฯ เพิ่มขึ้นตามด้วย (ราคาก๊าซฯปรับตามน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือน) ระยะยาวคาดธุรกิจเติบโตต่อเนื่องจากมีแหล่งใหม่ทยอยเปิดดำเนินการในปี 66-69 (สัมปทานใหม่บงกชหนุนเต็มปี, แหล่งเอราวัณเร่งตัว, แหล่งใหม่ในเวียดนาม/โมซัมบิก) และ ยังมี upside จากแหล่ง Lang Lebah ที่ยังไม่รวมในประมาณการ เบื้องต้นคาดปริมาณผลิตราว 1,000-1,200 MMSFCD/ 170-200 KBOED คาดทราบความชัดเจน FID (Final Investment Decision) ในปี 66
บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยต่อประเด็นดังกล่าว โดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 25.5% เป็น 37% ไม่ต้องใส่เงินเพิ่ม และจะช่วยให้เพิ่มรายได้ต่อ PTTEP ราว +1% จาก 3% เป็น 4% ในขณะที่ CAPEX เพิ่มขึ้น 1 ล้านเหรียญฯ/ปี และ OPEX เพิ่มขึ้นราว 8 ล้านเหรียญฯ/ปี ตั้งแต่ปีหน้า PTTEP มั่นใจว่าการผลิตก๊าซจากโครงการนี้ยังคงดำเนินได้ปกติเพราะแหล่งนี้มีความสำคัญมากต่อทั้งไทยและเมียนมา
ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ PTTEP ต่อเนื่องตามราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับขึ้นและปริมาณการขายจะเติบโตโดดเด่นในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบผันผวนสูงตามประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ด้วยราคาเป้าหมาย 162 บาท/หุ้น ซึ่งอิงราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 70 เหรียญฯ/บาร์เรล ในระยะยาว
บล.ทรีนีตี้ กล่าวในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยจากประเด็นดังกล่าว โดยปริมาณที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้นอยู่ราว 4 kboed หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1% จากกำลังการผลิตของ PTTEP ในปัจจุบัน และคิดเป็นกำไรส่วนเพิ่มราว 400 ล้านบาทต่อปี และมีกระแสเงินสดที่จะได้รับเพิ่มขึ้น 1.4 พันล้าบาทต่อปี ในขณะที่มี OPEX และ CAPEX เพิ่มขึ้นราว 270 ล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.5-2.0 บาทต่อหุ้น
ปรับประมาณการกำไร PTTEP ปี 65-66 ขึ้นเป็น 6.6 และ 5.7 หมื่นล้านบาทตามลำดับ จากสมมติฐานราคาน้ำมันเป็น 90 เหรียญฯ/บาร์เรล และ 85 เหรียญฯ/บาร์เรล (เดิม 75 เหรียญฯ/บาร์เรล และ 80 เหรียญฯ/บาร์เรล) ด้วยแนวโน้มสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงกว่าที่คาดไว้ และปรับสมมติฐานปริมาณขายเพิ่มขึ้นอีก 4,000 บาร์เรล/วัน จากสัดส่วนที่ได้เพิ่มจากโครงการยาดานา
ทั้งนี้ ปรับคำแนะนำเป็น Trading Buy และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 152 บาท จากสมมติฐานราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นปัจจุบันมี upside จากราคาเป้าหมายเราเพียง 3% จึงแนะนำเพียง Trading Buy ตามราคาน้ำมัน โดยปัจจัยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความผันผวนของราคาน้ำมัน