นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทาคูนิ กรุ๊ป (TAKUNI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 65 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรมกลับมาเริ่มดำเนินการได้ตามปกติ และได้ขยายกลุ่มลูกค้าไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้ามากขึ้น จากเดิมที่อยู่เฉพาะในกลุ่ม Oil & Gas ขณะที่ธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ความต้องการใช้ LPG ก็ยังคงทรงตัว
นอกจากนี้ บริษัทจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เอ็กซ์แซคท์ เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่ง TAKUNI ถือหุ้นในสัดส่วน 40% และบริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ในสัดส่วน 60% โครงการแรกมีมูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เปิดก่อสร้าง 3 เฟส จากทั้งหมด 4 เฟส ปัจจุบันมียอดจองซื้อบ้านแล้วจำนวน 73 หลัง จากทั้งหมด 95 หลัง และคาดจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้เร็วๆนี้
ด้านบริษัทย่อย คือ บมจ.ซี เอ แซด (ประเทศไทย) หรือ CAZ ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) กว่า 4,190 ล้านบาท โดยจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 2,000 ล้านบาท หรือกว่า 60% ของมูลค่างานทั้งหมด ในขณะเดียวกัน CAZ ยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆเข้ามาอย่างต่อเนื่องในกลุ่ม Oil & Gas ไม่ต่ำกว่า 3,600 ล้านบาท และยังคงมีงานทยอยออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้รังานโครงการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ทั้งจากโครงการที่ต่อเนื่องจากโครงการเดิม และ โครงการใหม่ๆ
สำหรับธุรกิจ บริษัท วัชพืช ไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ TAKUNI โดยถือหุ้นอยู่ 50% และบริษัทอื่นๆ ถืออีก 50% เพื่อประกอบธุรกิจผลิต นำเข้า-ส่งออก ขนส่ง แปรรูป ครอบครอง และจำหน่าย กัญชา กัญชง เพื่อใช้ในทางการแพทย์ หรือการศึกษา วิจัย พัฒนา นวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อการรักษาผู้ป่วยหรืองานวิจัยอื่น ได้เริ่มปลูกไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่ายังคงต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาความสามารถในการปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ