นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 65 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 7,818.33 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I กำลังการผลิต 768 เมกะวัตต์ ประเทศสหรัฐฯ เข้ามาเต็มปี หลังได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมด 100% ในบริษัท Temple Generation Intermediate Holdings II, LLC ในปีที่ผ่านมา รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้านาโกโซ (Nakosa IGCC) กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 73 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเต็มปีด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการชิราคาวะ (Shirakawa) ขนาด 5 เมกะวัตต์ไปแล้วในช่วงกลางไตรมาส 1/65 และยังมีโครการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 91 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอย COD เข้ามาเพิ่มเติมภายในปีนี้
อีกทั้งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ 3 แห่งในเวียดนาม ได้แก่ โครงการชูง็อก (Chu Ngoc) ขนาดกำลังผลิต 8 เมกะวัตต์, โครงการน็อนไห่ (Nhon Hai) ขนาด 18 เมกะวัตต์ และโครงการเอสโก (ESCO) ขนาด 31 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการทางเอกสาร คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรตามการลงทุนได้ในไตรมาส 2/65 ซึ่งจากการลงทุนดังกล่าวทำให้ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนแล้วที่ 3,242 เมกะวัตต์ (รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนารอ COD)
สำหรับงบลงทุนปีนี้วางไว้ที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น 300 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้ลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยมีความสนใจและอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโรงไฟฟ้า HELE ในตลาดสหรัฐฯ เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงเดือนเม.ย.65 และอีก 400 ล้านเหรียญสหรัฐจะรองรับการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable) โดยยังคงเน้นในประเทศที่บริษัทมีโครงการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เวียดนาม สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย นอกเหนือจากนี้ยังมองประเทศอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตด้วย โดยบริษัทยังคงเป้ากำลังการผลิต 1,600 เมกะวัตต์ในการเติบโตของ Renewable ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
อย่างไรก็ตาม BPP มองว่าประเทศเวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต จากดีมานด์และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่มีการเติบโตสูง และยังเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่มีการพัฒนา Renewable สูงมาก โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว 20-25 ปี นอกจากนี้ สหรัฐฯและออสเตรเลีย ก็เป็นประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานไปอีกระดับ เห็นได้จากโครงสร้างตลาดไฟฟ้าในประเทศดังกล่าวก็จะแตกต่างจากเวียดนาม โดยบริษัทฯ มุ่งที่จะขยายพอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยโฟกัสที่เท็กซัส โดยคาดหวังว่าก่อนจบครึ่งแรกปีนี้จะมีโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เข้ามาในพอร์ตเพิ่มเติม
นายกิรณ กล่าวว่า ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ถือว่าเป็นช่วงของไฮซีซันของพลังงาน เนื่องจากตลาดหลักอย่างประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ อยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้มีความต้องการด้านพลังงานสูง รวมถึงเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple I เข้ามาเต็มไตรมาส แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มเข้ามา ทำให้เกิดความซับซ้อนในการประมาณการ โดยเฉพาะการทำสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและน้ำมันมีความผันผวน แต่น่าจะกระทบกับบริษัทเล็กน้อย เพราะในส่วนของราคาถ่านหินที่ผันผวนจะไม่ได้รับกระทบ เนื่องจากโรงไฟฟ้าอยู่ปากบ่อเหมือง และมีการทำสัญญาซื้อ-ขายถ่านหินระยะยาวกับภาครัฐจีนแล้ว