MILL ตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นปี 51 มาที่ 10% จากกำไรสต็อกเหล็ก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 13, 2008 12:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ (MILL) คาดว่า ในปี 51 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาที่ 10% จาก 7.59% ในปี 50 จากกำไรสต็อกเหล็กต้นทุนต่ำขณะที่ราคาตลาดโลกปรับสูงต่อเนื่อง ขณะที่เตรียมขยับขึ้นราคาขายในประเทศตามรายอื่น หากได้ไฟเขียวจากกระทรวงพาณิชย์
ปัจจุบันราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 830 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่บริษัทมีต้นทุนสต็อกเหล็กที่ราคาเฉลี่ย 730 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้บริษัทมีผลต่างกำไรจากสต็อกเหล็กล่วงหน้า ขณะที่ราคาขายในประเทศก็อยู่ในระดับที่ 29 บาท/กก.สูงกว่าต้นทุนที่ 21 บาท/กก.
นายสิทธิชัย กล่าวว่า บริษัทไม่ได้ตั้งใจที่จะสต็อกเหล็กเอาไว้เพื่อเก็งกำไร แต่สถานการณ์ราคาเหล็กที่ผันผวนทำให้บริษัทต้องระมัดระวังในการสั่งซื้อสินค้า ซึ่งแนวโน้มราคาเหล็กตลาดโลกในอีก 2 เดือนข้างหน้า เชื่อว่าน่าจะปรับสูงขึ้นจากปัจจุบันตามความต้องการของตลาดโลก
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับขึ้นราคาขายเหล็กในประเทศตามต้นทุนราคาตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นด้วย หากกระทรวงพาณิชยฺอนุมัติให้ผู้ประกอบการเหล็กในประเทศปรับขึ้นราคาตามข้อเรียกร้อง
นายสิทธิชัย เปิดเผยถึงแผนงานทางธุรกิจในปีนี้ว่า ในเดือนเมษายนนี้บริษัทจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอความเห็นชอบการเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรม จำกัด (เหล็กบูรพา) ในสัดส่วน 85.10% ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของ MILL เพื่อรับมือกับธุรกิจเหล็กที่กำลังเป็นขาขึ้น เนื่องจากจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทันที สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายขึ้น รองรับกับความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มมากขึ้นได้อย่างคล่องตัว
พร้อมกันนั้นก็จะขอความเห็นจากผู้ถือหุ้นในการที่บริษัทจะย้ายหุ้น MILL จากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าไปเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET โดยเชื่อว่าน่าจะย้ายไปได้ภายในปีนี้
"หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติก็จะส่งผลให้บริษัทฯ กลายเป็นผู้ประกอบการเหล็กรายใหญ่ระดับแนวหน้าของไทยทันที เพราะปัจจุบันกำลังการผลิตเต็มที่ของ MILL อยู่ที่ 5 แสนตันต่อปี เดินเครื่อง 60% คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้ ตามความต้องการใช้เหล็กที่มากขึ้น และกำลังการผลิตในส่วนของเหล็กบูรพาฯ อยู่ที่ 3 แสนตันต่อปี ใช้จริงเพียง 15% เท่านั้น เมื่อรวมกันจะมีกำลังการผลิตประมาณ 8 แสนตันต่อปี ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควรทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างคล่องตัว" นายสิทธิชัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเพิ่มเครื่องจักร ท่อรูปพรรณ รวมถึงปรับปรุงเครื่องจักรเดิมที่มีอยู่
นายสิทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตหากมีโอกาสดีในการลงทุนก็ยังมองโอกาสเพิ่มทุนอีก แม้ว่าหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ เมื่อต.ค. 50 และได้เพิ่มทุนไปแล้ว 2 ครั้ง แต่หากมองโอกาสในการเข้าลงทุน เชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุน (Earning per share) คุ้มค้าต่อการ Diluted
"การควบรวมกับเหล็กบูรพา จะทำให้ MILL มีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงขึ้น กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และมองว่าในอนาคตจะมีการควบรวมของธุรกิจเหล็กอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าธุรกิจเหล็กขนาดเล็กไม่สามารถอยู่ในอุตสาหกรรมได้" นายสิทธิชัย กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ