บล.พาย (Pi) คาดดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,655 - 1,690 จุด โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้น Dow Jones ปิดบวก 0.8% หลังจากที่การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐกับจีนมีปัจจัยบวกเกิดขึ้นเล็กน้อย โดยทางจีนระบุว่าทั้งจีนและสหรัฐต้องพยายามทำให้เกิดสันติภาพบนโลกใบนี้พร้อมเน้นย้ำถึงการเจรจาทางการทูตมากกว่าใช้ความรุนแรง ขณะที่ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาประธานาธิบดียูเครนออกมาระบุว่าขณะนี้ถึงเวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจา
ทั้งนี้หากดูการตอบรับของตลาดจะพบว่าผ่อนคลายต่อเนื่องสะท้อนจาก (1) Vix Index ปรับตัวลงต่อเนื่องพร้อมกับราคาทองคำที่ปรับฐานต่อเนื่อง (2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้ง 2 , 10 ปียังคงทรงตัวระดับสูงพร้อมกับราคาน้ำมันที่เริ่มนิ่งๆ ขณะเดียวกัน ศูนย์บริหารสถานการณืโควิด-19 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการในวันศุกร์ด้วยการปรับพื้นที่สีต่างๆบางจังหวัด ส่วนการเดินทางเข้าไทยกระทำได้ง่ายมากขึ้นด้วยการยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าไทย (ก่อนหน้าต้องตรวจก่อนมา) แต่เมื่อมาถึงต้องตรวจ RT-PCR จากนั้นวันที่ 5 ให้ตรวจ ATK ด้วยตนเองพร้อมแจ้งผลผ่านแอพฯ มองเป็นบวกอ่อนๆต่อกลุ่มท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA)
ด้านตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศสัปดาห์นี้จะค่อนข้างเงียบๆ ไม่มีตัวเลขใดๆโดดเด่น แต่ประเทศไทยจะมีการรายงานการค้าระหว่างประเทศของเดือน ก.พ. Bloomberg คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัว 10%YoY และนำเข้าขยายตัว 19%YoY หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาดก็จะเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนได้
(2) สถานการณ์ยูเครน - รัสเซีย ต้องติดตามว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกออกมาหรือไม่หลังหลายประเทศเห็นว่าควรใช้การเจรจามากกว่าใช้ความรุนแรง ซึ่งหากมีปัจจัยบวกออกมาก็เชื่อตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับเชิงบวก โดยเฉพาะการประชุม NATO ในวันที่ 24 มี.ค. (3) ประชุม ครม. วันอังคาร เบื้องต้นมีรายงานออกมาว่ารัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน
กลยุทธ์การลงทุน
กลุ่ม Domestic หรือหุ้นอิงภายในประเทศยังมองเป็นกลุ่มน่าสนใจเพราะผลกระทบจากปัจจัยรบกวนภายนอกประเทศมีจำกัด แต่ควรพิจารณาหุ้นที่มีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนออกไป อาทิ (BJC CPALL HMPRO GLOBAL) ร้านอาหาร (M) เครื่องดื่ม (CBG OSP TACC) โดยยังคงเน้นการเพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้น
M (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 61 บาท) เชื่อว่าบริษัทมีความสามารถพอในการส่งผ่านต้นทุนออกไปสะท้อนจากกำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างโดดเด่นในอดีตที่ผ่านมาย้อนหลัง 7 ปี ขณะที่ราคาหุ้นยังค่อนข้าง Laggard และอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัว
TACC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 9.5 บาท) แนวโน้มปี 65 คาดได้รับผลดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของ 7-11 และการเข้าไปขายในโลตัสได้เพิ่ม เช่นเดียวกับธุรกิจ Character ที่ประเมินว่าลูกค้าจะกลับมาทำการตลาดมากขึ้นหลังชะลอไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา