ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจากแผนการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศจะช่วยสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว 241.5 เมกะวัตต์ ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือไปสู่ 400 เมกะวัตต์ภายในปี 67 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ LEO 2 ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 22 เมกะวัตต์ เตรียมจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ไตรมาส 2/67 ส่วนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเฟส 2 ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างขั้นตอนทำการศึกษาและรอความชัดเจนจากรัฐบาลของเวียดนาม ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น "วินชัย" ทั้งหมด 25% จาก Qian Xing Long มูลค่า 752 ล้านบาท ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ในจังหวัดมุกดาหาร สัญญาค่าไฟฟ้าแบบ Adder 3.5 บาทต่อหน่วย (กิโลวัตต์ชั่วโมง) เป็นระยะเวลา 10 ปี ขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่ง COD แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.62 จึงเตรียมรับรู้รายได้เข้ามาทันทีในไตรมาส 1/65
สำหรับต้นทุนค่าก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า ต้องยอมรับว่ามีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี และมี Supplier รายใหญ่ที่ดูแลอุปกรณ์การก่อสร้างให้บริษัท จึงเชื่อว่าผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น
นายวรุตม์ ยังเปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการมองหาแผนการลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับบริษัท โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการลงทุนในปีนี้ อาทิ การลงทุนในธุรกิจกัญชงกัญชา และเหมืองบิทคอยน์ เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนทั้งในประเทศไทย ในเอเชีย และ ประเทศอื่นๆ นอกเอเชีย "ปัจจุบันเราเชื่อมั่นว่าเรามีเงินทุนเพียงพอในการขยายกิจการ เพื่อที่จะเข้ามาเป็น New S-Curve นอกเหนือจากการลงทุนขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าแล้ว ทั้งในรูปแบบของการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ร่วมลงทุน (JV) แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงยืนยันว่าธุรกิจหลักของเรายังเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าพลังงานทดแทนเอง และโรงไฟฟ้าอื่นๆ"นายวรุตม์ กล่าว