บมจ.เอ็มเอฟซี (MFC) ออกกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล มินิมั่ม โวลาติลิตี้ (MGMVOL) เป็นกองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ ประเภท Feeder Fund ไม่กำหนดอายุโครงการ เงินทุนโครงการ 2,000 ล้านบาท มีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล ความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 6 จะเปิดให้จองซื้อ IPO ระหว่างวันที่ 25 มี.ค.-1 เม.ย. 65 นี้ มีขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกเพียง 1,000 บาท
กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีความผันผวนต่ำ ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในช่วงตลาดขาลง และให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีตลาดในช่วงตลาดขาขึ้น เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกเผชิญกับสภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนสูงจากหลายปัจจัย เช่น การระบาดของโควิด-19 และการกลายพันธุ์ ปัญหาการติดขัดด้านอุปทานทั่วโลก ความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลสำคัญให้ธนาคารกลางมีนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น หรือ ปัญหาความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน และ สหรัฐฯ-จีน-ไต้หวัน เป็นต้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจและการลงทุน
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ MFC กล่าวว่า บริษัทมองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าดัชนีหุ้นโลกและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้สภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวน ปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามปัจจัย จึงเห็นโอกาสการลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีความผันผวนต่ำ (Minimum Volatility) เป็นที่มาของการจัดตั้งกองทุน MGMVOL ผ่านการลงทุนใน iShares MSCI Global Min Vol Factor ETF ซึ่งมีความน่าสนใจเพราะ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มผันผวนสูงขึ้น ซึ่งอาจไม่สามารถสร้างผลตอบแทนตามที่นักลงทุนคาดหวังได้ การลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำสามารถลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโดยรวม
นอกจากนี้หุ้นกลุ่ม Minimum Volatility มีโอกาสให้ผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานทางการเงินที่ดี มีแนวโน้มในการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต กองทุน MGMVOL จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนระยะยาว แต่ยังมีความกังวลเรื่องความผันผวนระยะสั้น
มุมมองต่อตลาดหุ้นต่างประเทศที่สนับสนุนให้ MGMVOL ได้แก่ 1) คาดว่าตลาดหุ้นยังมีความผันผวนสูง โดยมีปัจจัยหลักจากอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูงไปอีก 6-12 เดือน ขณะที่ปัจจัยชั่วคราวเช่นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน จะคลี่คลายลงในที่สุด 2) คาดว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากปัจจัยขั้นต้นกดดันให้มีการปรับลดประมาณการของอัตรากำไรต่อหุ้น ของดัชนีตลาดหุ้นโลก 3) คาดว่า อัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของการลงทุนในหุ้น ในปีนี้ 4) คาดว่า ในระยะสั้นอัตราผลตอบแทนของหุ้นในสามกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ หรือ การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มพลังงาน Energy กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสุขภาพ และสาธารณสุข (ลงทุนเชิงป้องกัน ในช่วงเศรษฐกิจเติบโตสูงสุด) 5) คาดว่า ในระยะกลางอัตราผลตอบแทนของหุ้นในกลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจะสูงกว่ากลุ่มธุรกิจอื่น
กองทุน MGMVOL มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ iShares MSCI Global Min Vol Factor ETF (กองทุนหลัก) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม กองทุนหลัก เป็นกองทุน ETF ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2011 มุ่งให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI All Country World Minimum Volatility Index ซึ่งประกอบด้วยหุ้นทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ เช่น VERIZON COMMUNICATIONS INC ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารชั้นนำของโลก, ROCHE HOLDING PAR AG บริษัทยาและเวชภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก, NESTLE SA ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก, WASTE MANAGEMENT INC ให้บริการด้านจัดการขยะและรีไซเคิลที่ใหญ่ที่สุดใน US หรือหุ้น NEWMONT บริษัทเหมืองแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีลักษณะความผันผวนต่ำ หรือราคามีความสัมพันธ์กันน้อย เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโดยรวม ทำให้พอร์ตการลงทุนมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น