นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) เปิดเผยว่า ในปีนี้ การควบรวมกิจการระหว่าง TRUE กับบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากการรวมตัวกันจะทำให้บริษัทใหม่เห็นแนวโน้มเติบโตได้ทันที ได้แก่ ฐานรายได้มากขึ้น ฐานลูกค้าขยายตัวเพิ่มขึ้น การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงความร่วมมือการใช้เครือข่ายร่วมกัน และการให้บริการให้กับลูกค้าหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดย TRUE ก็มี service ที่หลากหลายอยู่แล้ว ได้แก่ True Id ,ดิจิทัล , True 5G ทั้งหมดนี้ตจะทำให้ต่างฝ่ายเสริมซึ่งกันและกัน
"ปีนี้มีการควบรวม เป็น Big Change เป็น Factor ใหญ่ น่าจะมีผลมีการเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จจะทำให้เกิด Value Added กับ Ecosystem ที่ทำไว้ ... แน่นอนว่า 1+1 ไม่ใช่แค่สอง จะมี Potential Growth"นายณัฐวุฒิ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทได้สื่อสารกับพนักงานเกี่ยวกับการควบรวมกิจการครั้งนี้ว่าเป็นดีลที่ไม่ใช่ว่าใครซื้อใคร และ Service ที่มีเป็นฐานรวมกัน โดยเรามองว่าบริษัทใหม่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก โดยนำเทคโนโลยี 5G ไปให้บริการข้อมูล (Data) , IoT เข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก การเกษตร Smart Home การขนส่ง สุขภาพ ซึ่งทั้งหมดเราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เราทำงานร่วมกับพันธมิตรและสตาร์อัพ ทั้งนี้ บริษัทจะเปลี่ยนผ่านจากบริษัทสื่อสารไปสู่ Tech Service Compay ได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายณัฐวุฒิ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการควบรวม โดยจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทในวันที่ 4 เม.ย. 65 ขณะที่กรณีที่มีหลายภาคส่วนไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการนั้น บริษัทก็อยู่ระหว่างการติดตามเรื่องนี้
อนึ่ง ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA)ได้ทำรายงานเกี่ยวกับการควบบริษัทระหว่าง DTAC และ TRUE โดย IFA สนับสนุนที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการควบรวบ TRUE+DTAC ซ่ง FA ของทั้ง DTAC และ TRUE เห็นว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นควรอนุมัติการควบรวมกิจการระหว่าง DTAC กับ TRUE จาก synergy benefit ที่จะเกิดขึ้น โดย IFA ประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี DCF ของ DTAC และ TRUE อยู่ที่ 39.2-65.6 บาท และ 4.1-6.9 บาท ตามลำดับ (as a standalone business) และลงความเห็นอัตราส่วนการแปลงหุ้น ของ DTAC 1 หุ้นเดิม ต่อ 6.13444 หุ้นใหม่ และ TRUE 1 หุ้นเดิม ต่อ 0.60018 หุ้นใหม่ เป็นอัตราที่เหมาะสม