นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ตาชำนิ (CEYE) กล่าวว่า CEYE มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และคาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (service) ในช่วงไตรมาส 2/65
วัตถุประสงค์การระดมทุนจะนำเงินไปใช้ลงทุนโครงการในอนาคต ประกอบด้วย ก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร และ โครงการลงทุนอุปกรณ์การผลิต ทั้งอุปกรณ์การถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ และลงทุนเพิ่มเติมในขั้นตอนภายหลังการผลิต นอกจากนี้ นำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประโยชน์ในการบริหารสภาพคล่อง และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโต
CEYE ยังมองหาโอกาสเพื่อต่อยอดความเชี่ยวชาญผ่านโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ได้แก่ ลงทุนในบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาด กิจกรรม และการประชาสัมพันธ์ รวมทั้ง ธุรกิจออนไลน์ รับเทรนด์เม็ดเงินโฆษณาในยุคดิจิทัลมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งลงทุนในบริษัท โพสต์ โปรดักชั่น สำหรับวีดีโอ ภาพยนตร์ และซีรีส์ รวมทั้ง ลงทุนในสตาร์ทอัพและสร้างทีมนวัตกรรม รับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่ง เพิ่มความครบวงจรในการให้บริการด้านโปรดักชั่น
นายเอกจักร กล่าวว่า บริษัทเริ่มออกโรดโชว์นำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมครีเอทีฟ และคอนเทนท์โฆษณา ด้วยบริการครบวงจรแบบ One stop services, creative and production solution ด้วยกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ มาตรฐานระดับสากล ตลอดจนมีทีมผู้บริหารและผู้ก่อตั้งมีชื่อเสียงด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงการโฆษณา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
อีกทั้งมีกลยุทธ์การพัฒนาสื่อเป็นของตัวเองรับเทรนด์การเติบโตในยุคดิจิทัล เนื่องจากธุรกิจมีความจำเป็นต้องโฆษณาในทุกยุคสมัย ซึ่งเห็นได้จากรายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดในปี 64 ที่ผ่านมา ดังนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้ มองว่าจะเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดในการลงทุนและเพิ่มโอกาสให้บริษัทในการขยายความครบวงจร และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ซึ่งได้แก่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส , บล.พาย, บล.เคทีบีเอสที และ บล.โกลเบล็ก ได้สัมภาษณ์ผู้บริหาร CEYE ในช่วงที่ผ่านมาได้ออกบทวิเคราะห์ให้ราคาเป้าหมายที่ 4.50 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดราคา IPO และวันจองซื้อที่ชัดเจน ซึ่งหากได้ข้อสรุปจะแจ้งให้นักลงทุนทราบต่อไป
ด้าน น.ส.สุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CEYE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในช่วงของการโรดโชว์ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) โดยคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก CEYE มีจุดเด่นในการให้บริการแบบ One Stop Services ช่วยลดขั้นตอนการติดต่อที่ยุ่งยาก
รวมถึงลูกค้ายังมั่นใจได้ว่าแนวความคิดของแคมเปญในการวางแผนโฆษณาทั้งหมดจะไปในทางเดียวกัน โดยการมีประสบการณ์และอยู่ในวงการนี้มายาวนานกว่า 30 ปีทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจของลูกค้า ลูกค้าหลักในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นลูกค้าองค์กร (Corporate) หรือบริษัทขนาดใหญ่ และลูกค้าต่างชาติ ขณะที่มีทีมงานที่มีศัยภาพและรองรับงานทุกลักษณะ และการขยายบริการเพื่อรองรับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน CEYE ประกอบธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวสำหรับสื่อโฆษณา สื่อโทรทัศน์ สื่อดิจิตัล ออนไลน์และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีบริษัทย่อยคือ บริษัท ไม้ยืนต้น จำกัด ถือหุ้นสัดส่วน 99.82% ดำเนินธุรกิจให้เช่าสตูดิโอสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ โฆษณา และรายการโทรทัศน์ ปัจจุบันมีสตูดิโอ 5 แห่ง
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ก็มีความสามารถในการทำกำไรได้ค่อนข้างดี เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้น อัตรากำไรสุทธิ ในปีปกติอยู่ที่กว่า 30% รวมถึงยังมีโครงสร้างทางการเงินที่ดีด้วย
ณ สิ้นปี 64 บริษัทมีโครงสร้างรายได้ใน 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่ง 50.07% บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 26.73% บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 11.50% บริการให้เช่าสตูดิโอ 3.82% และ บริการอื่นๆ รวมประมาณ 5.50% ได้แก่ ธุรกิจผลิตสื่อออนไลน์ ปัจจุบันมีจำนวน 5 สื่อ คือ Spectrum, Shifter, Love Like Laugh, Myanmar Good Friend และ Landmark ผ่านช่องทาง Facebook, Youtube, Instagram, Website, Twitter เป็นต้น รวมทั้ง ให้บริการบริหารสื่อออนไลน์ให้แก่ลูกค้าบน Facebook ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเสริมฐานรายได้ในระยะยาว
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตเป็นไม่น้อยกว่าปี 62 เนื่องจากยังคงมีความต้องการคอนเทนท์สื่อโฆษณาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown รวมถึงมาตรการการจำกัดการรวมกลุ่ม ทำให้กระบวนการผลิตสื่อโฆษณากลับมาทำได้ตามปกติ ซึ่งนับตั้งแต่ปลายปี 64 สังเกตุเห็นได้ว่าเม็ดเงินลงทุนในสื่อต่าง ๆ เริ่มกลับมามีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ฟื้นตัว เป็นผลบวกต่อโอกาสที่บริษัทจะได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ด้วย
ส่วนกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทจากนี้ไป คือ การขยายการบริการทั้งแนวกว้างและแนวลึก หรือขยายบริการจากกลุ่มโฆษณา ที่ให้บริการแบบครบวงจรไปสู่ตลาดเอ็นเตอร์เทนเมน ไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น SME, B2C โดยตั้งเป้าหมายขยายการให้บริการไปในต่างประเทศด้วย อีกทั้งในส่วนของ Marketing Solution ก็จะเพิ่มบริการให้กับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ๆ ให้ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น Branding & Communication Strategy, Online Campaign, Web Design & Development ด้าน Online Media จะแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติมกับมีเดีย พาสเนอร์ และการทำออนไลน์มีเดียให้ครบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ผ่าน On ground Activity และ Spectrum Asean ซึ่งภาพทั้งหมดนี้จะเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ภายหลังการ IPO