นายอภิชาติ เกษมกุลศิริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) และกรรมการบริษัท บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) เปิดเผยว่า LPN ได้เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจของ LPP ซึ่งเป็นธุรกิจบริหารจัดกาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร จึงปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจโดยการปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ LPP ให้ครอบคลุมทุกงานบริการ และวางแผนส่งบริษัท LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 67
ทั้งนี้ LPN คาดว่าเมื่อ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 พันล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากนั้น ซึ่งจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าวจะช่วยหนุน Market Cap ของ LPN ในฐานะผู้ถือหุ้น โดยคาดว่าจะส่งทำให้ Market Cap ของ LPN เพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 64 เป็น 1 หมื่นล้านบาท
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LPP กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ LPP ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจให้บริการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร (Property & Facility Management Service Provider) โดยตั้งเป้ารายได้รวมที่ 2.3 พันล้านบาทในปี 69 โดยเติบโตจาก 857 ล้านบาทในปี 64 ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สูงกว่า 200% คิดเป็นเติบโตเฉลี่ย 22% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของตลาดธุรกิจบริการที่เติบโตเฉลี่ยกว่า 10% ต่อปี
จากผลการศึกษาของบริษัทพบว่าตลาดการให้บริการบริหารจัดการอาคารทั่วประเทศจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้านบาทในปี 65 รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลงทุนของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงานและอาคารในเชิงพาณิชย์ เฉลี่ยปีละ 3-4 แสนล้านบาท/ปี ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคารมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย
ภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ก้าวเข้าสู่ New S-Curve จึงเป็นโอกาสของ LPP ในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจการบริหารจัดการอาคารมาถึง 30 ปี จะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ โดยการเติบโตนี้จะมาจากการรุกและขยายตลาด การขยายธุรกิจและขอบเขตการให้บริการที่ครบวงจร พร้อมทั้งสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ทั้งงานด้านวิศวกรรม งานซ่อมบำรุงอาคาร บริการงานสวน บริการกำจัดแมลง การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมไปถึงการวางโครงสร้างบริหารโครงการในรูปแบบของ Franchise เป็นต้น
ในส่วนงานระบบรักษาความปลอดภัยนั้น LPP ได้เปิด บริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพนอกเหนือจากการใช้พนักงานรักษาความปลอดภัยเว้นมาเสริมการบริการเพิ่มเติมให้กับการบริหารจัดการอาคารครบวงจรของ LPP
ขณะที่โครงสร้างธุรกิจในส่วนของการบริหารจัดการโครงการใหม่จากที่เคยมุ่งเน้นบริหารโครงการให้กับ LPN เป็นหลัก และจะขยายไปสู่การบริหารจัดการอาคารให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆให้มากขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยขยายจากสัดส่วนเดิมที่ 28% เป็น 45%
นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ LPP กล่าวว่า จากประสบการณ์การบริหารจัดการอาคารมานานกว่า 30 ปี บริษัทได้สั่งสมประสบการณ์และพัฒนาต่อยอดการบริหารจัดการอาคารมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 200 โครงการ 160,000 ครอบครัว และผู้พักอาศัยจำนวนกว่า 300,000 คน ไม่รวมงานบริการด้านอื่นๆที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน LPP ยังมอบบริการพิเศษในการเพิ่มความสะดวกสบายและช่วยลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการภายใต้การบริหารจัดการของ LPP โดยขยายธุรกิจสู่บริการบนแพลตฟอร์มค้าออนไลน์ในชุมชน (Community Commerce) ภายใต้ชื่อ "Living24 Store" ให้เป็นช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในราคาต่ำกว่าท้องตลาด และสะดวกในการจับจ่ายตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายคล่องตัว อันถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการบริหารจัดการโครงการ โดยบริษัทได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจหลายราย ในการนำเสนอสินค้าและมอบส่วนลดราคาพิเศษสำหรับจำหน่ายบน Living24 Store