นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันนี้ มีมติเห็นชอบแผนการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอีก 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้ชำระคืนเงินกู้ยืม, สนับสนุนการลงทุน และใช้ในการดำเนินกิจการทั่วไปของบริษัทฯ
ทั้งนี้ เดิมบริษัทมีวงเงินการออกและเสนอขายหุ้นกู้ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ได้รับอนุมัติในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 63 ดังนั้น เมื่อรวมกับวงเงินใหม่จะทำให้บริษัทจะมีวงเงินรวมในการออกและเสนอขายหุ้นกู้เท่ากับ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีระยะเวลาในการดำเนินงาน 5 ปี (65-69) และสามารถทำการออกและเสนอขายได้ใหม่ (Revolving Principal)
สำหรับวงเงินกู้ที่บริษัท สามารถทำการออกและเสนอขายได้ใหม่ (Revolving Principal) นั้น จะครอบคลุมถึง หุ้นกู้มีการไถ่ถอนก่อนหรือตามกำหนด, การออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อการ Refinancing (การออกหุ้นกู้ในช่วงปี 65-569 เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปชำระเงินเพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ หรือเงินกู้เดิมที่ได้ออกไปแล้ว) และการทำ Liabilities Management เช่น การซื้อคืนหุ้นกู้ (Bond Repurchase) แล้วออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทน หรือการแลกเปลี่ยนหุ้นกู้ (Bond Exchange)
อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้เดิมที่มีการไถ่ถอน ซื้อคืน หรือแลกเปลี่ยน จะนำมานับเป็นวงเงินของหุ้นกู้ที่บริษัทสามารถทำการออกและเสนอขายได้อีก
นายคงกระพัน กล่าวว่า ในช่วง 5 ปี (65-69) บริษัทมีความต้องการใช้เงินลงทุนประมาณ 231,168 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7,201 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น
1. ภาระการชำระคืนเงินกู้ระยะยาวรวมประมาณ 122,238 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3,808 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งเป็น ปี 65 จำนวน 38,455 ล้านบาท, ปี 66 จำนวน 31,786 ล้านบาท, ปี 67 จำนวน 20,287 ล้านบาท, ปี 68 จำนวน 18,375 ล้านบาท และปี 69 จำนวน 13,335 ล้านบาท
2. แผนการลงทุน (CAPEX) ที่ได้รับอนุมัติแล้วและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง 108,930 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3,393 ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
อนึ่ง เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.63 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 63 ของบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้สกุลเงินบาท และสกุลเงินตราต่างประเทศ ในวงเงินรวมที่ยังไม่ได้ไถ่ถอน ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (Revolving Principal) เทียบเท่าไม่เกิน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทฯ ได้มีการออกและเสนอขายหุ้นกู้ภายใต้วงเงินข้างต้นไปแล้ว 3,458 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้มีวงเงินคงเหลือ 542 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายคงกระพัน คาดว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ยอดขายจะเติบโตดีกว่าปีก่อน ที่ทำได้ 465,128 ล้านบาท เนื่องจากจะได้กำลังการผลิตใหม่จาก Allnex ที่มีอยู่เกือบ 2 ล้านตันต่อปี เข้ามาสนับสนุน ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตรวมในปีนี้ปรับตัวขึ้นได้ 2% ขณะเดียวกันก็ยังช่วยสนับสนุนอัตรากำไร (margin) ของบริษัทให้อยู่ในระดับที่คงที่มากขึ้น หรือไม่ผันผวนไปตามธุรกิจหลักเหมือนในอดีต เนื่องจาก Allnex มีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) อยู่ที่ 17-18% ซึ่งค่อนข้างทรงตัว
ขณะที่สถานการณ์ความไม่แน่นอนของรัสเซียและยูเครน บริษัทได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีการบริหารความเสี่ยงไว้แล้ว ผ่านการวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และการเดินหน้าธุรกิจในอนาคตด้วย 3 กลยุทธ์ คือ Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สานต่อสร้างเสริม PTTGC ให้เข้มแข็ง, Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ allnex เพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ และ Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ ปัจจุบันบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการหาพาร์ทเนอร์ โดยมีความต้องการอย่างน้อย 2 ราย หลังจาก บริษัท Daelim Industrial Co., Ltd. (แดลิม) เกาหลีใต้ที่ได้ถอนตัวไป ซึ่งหากมีความชัดเจนจะแจ้งให้นักลงทุนทราบต่อไป
นอกจากนี้ยังมีโครงการสำคัญที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ได้แก่ บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด เพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High Heat Resistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 65
โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/66