นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอทีพี 30 (ATP30) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจไตรมาส 1/65 มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการให้บริการรถรับส่งพนักงาน จำนวน 637 คัน ซึ่งถือว่าสูงสุดตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าใหม่ที่เริ่มให้บริการในนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง เป็นรถบัสจำนวน 6 คัน รถตู้ 5 คัน สัญญา 5 ปี เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา และยังมีการเสนอบริการกับลูกค้ารายใหม่ ที่สนใจใช้บริการของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการเติบโตที่รวดเร็วของจำนวนรถให้บริการ บริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยี Robotic Process Automation (RPA) หุ่นยนต์ที่จะช่วยควบคุมการเดินรถ ทั้งเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ การบริหารต้นทุนให้กับลูกค้า (จัดการเส้นทางการเดินรถ) ระบบปฏิบัติการติดตามการเดินรถ ตรวจเช็คและซ่อมบำรุง และการควบคุมต้นทุนของบริษัท เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจและเพิ่มความสามารถการทำกำไร
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ไม่กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายพยุงราคาน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตามบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันอยู่แล้ว เพราะถือเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงาน อีกทั้งสัญญากับลูกค้าส่วนใหญ่เป็นค่าบริการแปรผันกับราคาน้ำมัน บริษัทจึงสามารถควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
"การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของจำนวนรถที่ให้บริการ ผนวกกับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อมั่นว่าผลประกอบการของบริษัทในปีนี้จะสามารถทำ All Time High โดยมีรายได้โต 25% แตะ 600 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรขั้นต้น 25% และอัตรากำไรสุทธิ 10%"นายปิยะ กล่าว
สำหรับกระแสการปรับเปลี่ยนจากการใช้รถน้ำมัน ไปเป็นการใช้รถจากพลังงานไฟฟ้า (EV) ปัจจุบันบริษัทมีการติดตามสถานการณ์ของรถบัส และ รถแวน อย่างใกล้ชิดและได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งการศึกษาการใช้รถ EV รวมไปถึงการการดัดแปลงรถจากรถน้ำมันเชื้อเพลิงมาเป็นรถ EV ทั้งการปรับปรุงตัวรถ และการลงทุนรถใหม่ เมื่อราคาและมูลค่าการลงทุนเหมาะสม บริษัทก็มีความพร้อมที่จะลงทุนได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทยอมรับว่าการลงทุนในรถ EV ยังไม่มีความเหมาะสม