
นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดีฟู้ด (JDF) กล่าวว่า บริษัทพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 7 เมษายน 2565 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ JDF ในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทในธุรกิจเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูป พร้อมสร้างผลประกอบการที่ดีในระยะยาว เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหาร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของ JDF เป็นแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร อาทิ กลุ่มบะหมี่สำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และธุรกิจร้านอาหารที่มีการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง (Food chain) อีกทั้ง ได้ต่อยอดความสำเร็จมายังผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเอง และมีการขยายไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม
จากความไม่หยุดนิ่งในการนำนวัตกรรมมาพัฒนาสูตรอาหารให้ตรงใจลูกค้า ปัจจุบัน บริษัทฯ ได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ กลุ่มแป้งชุบแป้งทอดสำเร็จรูป Better Mix ซึ่งได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยนวัตกรรมทางอาหารในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ สินค้าผักและผลไม้อบแห้งรองรับตลาดขนมขบเคี้ยวสาย Healthy Food ที่ใช้เทคโนโลยีการอบ 100% และ อาหารโปรตีนจากพืช (Plant base) รวมถึงต่อยอดกลุ่มสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่เป็นแบรนด์ของบริษัท เป็นต้น ตอกย้ำการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศ ด้วยผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้ารายได้ปี 65 จะเติบโตในระดับไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อน
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ JDF กล่าวว่า หุ้น JDF เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สะท้อนจากธุรกิจอาหารที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าหุ้นในหมวดอาหารจะได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ประเมินว่าในปี 65 สถานการณ์จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ส่งผลเชิงบวกต่อรายได้และกำไร
จุดแข็งของ JDF คือเป็นหุ้น Food Technology มีทีมวิจัยคิดและพัฒนาสูตรเฉพาะร่วมกับลูกค้า ดังนั้นลูกค้าจะมีคำสั่งซื้อในระยะยาว เพื่อคงรสชาติของสินค้าไม่ให้เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสมีความจำเป็นสำหรับธุรกิจ Food chain เพื่อควบคุมรสชาติของอาหารให้เหมือนกันในทุกสาขา ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ที่ผ่านมา มองว่าปี 2565 จะเป็นปีที่ JDF สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กำลังการผลิตที่รองรับโอกาสในอนาคตไว้แล้ว จะสนับสนุนแผนการขยายตลาดใหม่ๆ และสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันที
ด้านนายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.โกลเบล็ก ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ JDF จำนวน 150 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.60 บาท ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ
การเข้าจดทะเบียนใน SET ในครั้งนี้ เชื่อว่าสนับสนุนเป้าหมายการขยายช่องทางไปยังตลาดต่างประเทศ CLMV ตามแผนระยะยาว 3-5 ปีของบริษัท และแผนจัดตั้งห้องแลปหรือสำนักงานขายในต่างประเทศ รวมไปถึงจะใช้เงินเพื่อลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการขยายฐานการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต
ขณะที่ บทวิเคราะห์จาก 6 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ให้ราคาเหมาะสมหุ้น JDF เฉลี่ยที่ 3.47-4.20 บาท/หุ้น โดยบทวิเคราะห์ของ บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ผลประกอบการของ JDF ในปี 65 คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง สาเหตุหลักจากเครื่องปรุงรสอาหารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารจากสมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอังกฤษ จะทำให้บริษัทเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเชนร้านอาหารขนาดใหญ่ได้มากขึ้น กำลังซื้อจากลูกค้าเดิมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่กลับมาหลังการเปิดเมือง รวมถึงการเข้าสู่ตลาดใหม่โดยเพิ่มสายการผลิต ผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งชุบทอดสำเร็จรูป Better Mix และธุรกิจ B2C มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตั้งแต่ ม.ค.65 ภายใต้ตราสินค้า "GOOD EATS" ซึ่งเป็นซุปผงสำเร็จรูปไม่ใส่ผงชูรส วางจำหน่ายผ่านช่องทาง Online และ Modern Trade รวมทั้งการขยายตลาดสู่ CLMV โดยราคาประเมินเหมาะสมปี 65 อยู่ที่ราคา 4.20 บาทต่อหุ้น