นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ของปี 65 จะต้องติดตามปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อภาพรวมตลาด ได้แก่ มาตรการที่จะเข้ามาสนับสนุนการเดินหน้าเศรษฐกิจภายใต้แรงกดดันจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่พุงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ในภาวะต้นทุนการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง
สำหรับทิศทางเงินทุนต่างชาติในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีแรงซื้อสุทธิรวมแล้ว 131,367 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการดำเนินนโยบายเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของไทยที่ปรับตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังเป็นการนำเงินเข้ามาพักในประเทศที่มีความผันผวนน้อย ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่ยังมีหุ้นบางกลุ่มเริ่มฟื้นตัว ทำให้นักลงทุนมองเห็นอนาคตของกลุ่มเหล่านี้จึงเข้ามาลงทนมากขึ้น
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น มองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้น แต่โอกาสมีไม่มากเท่ากับประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ ทั้งสหรัฐ และ สหภาพยุโรปที่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยไม่ได้มากนัก
ส่วนเงินทุนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยจะยาวหรือไม่นั้น คงต้องติดตามสถานการณ์ทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน สถานการณ์โรคติดเชื้อโควิด-19 รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นจุดที่น่าสนใจ ยกเว้นว่าหากสงครามยุติลง หรือเศรษฐกิจยุโรปฟื้นกลับมา หรือจีนปรับเปลี่ยนนโยบาย จึงเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามต่อไป
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้ดัชนีปรับตัวน้อยมาก เพราะปัจจัยต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจน ทั้งความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นมาก อัตราดอกเบี้ยที่แต่ละประเทศต้องระมัดระวัง และซึ่งยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาเพิ่มเติม
แต่ที่น่าสนใจคือเงินทุนต่างชาติไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่มั่นคง มีเสถียรภาพสูง ทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดทุน เห็นได้จากตั้งแต่ต้นปีเงินทุนยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถือว่าไทยยังมีศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ต่างชาติสนใจ