นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะปรับตัวลงเป็นไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียและตลาดหุ้นทั่วโลก หลังนักลงทุนกังวลธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน พ.ค.นี้ เนื่องจากรายงานการประชุมประจำวันที่ 15-16 มี.ค.ที่ผ่านมาระบุว่ากรรมการเฟดเห็นพ้องปรับลดขนาดงบดุลลงเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเร็วที่สุดในเดือนพ.ค.นี้ และกรรมการเฟดหลายคนยังสนับสนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง โดยเฉพาะ Nasdaq ร่วงไปกว่า 2%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวลง 5.6% โดยหลุดระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลงมาที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.65 หลังประเทศสมาชิกสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เตรียมระบายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ 120 ล้านบาร์เรลรับมือภาวะอุปทานตึงตัวและสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยจะรวมถึงน้ำมันจากคลังของสหรัฐ 60 ล้านบาร์เรลด้วย และยังได้รับแรงกดดันจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.85 ล้านบาร์เรล จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะกดดันต่อหุ้นกลุ่มพลังงานบ้านเราให้ปรับตัวลง
รวมถึงหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี คาดว่าจะร่วงลงตามดัชนี Nasdaq ด้วย ขณะที่บ้านเราก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน และเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว เทศกาลสงกรานต์ คาดว่าปริมาณการซื้อขายน่าจะเริ่มเบาบางลง จากนักลงทุนชะลอการลงทุน
ให้แนวรับไว้ที่ 1,690-1,695 จุด และแนวต้าน 1,706-1,7010 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (6 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,496.51 จุด ลดลง 144.67 จุด หรือ -0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,481.15 จุด ลดลง 43.97 จุด หรือ -0.97% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,888.82 จุด ลดลง 315.35 จุด หรือ -2.22%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,032.42 จุด ลดลง 317.88 จุด หรือ -1.16%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,910.40 จุด ลดลง 170.12 จุด หรือ -0.77% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,267.81 จุด ลดลง 15.62 จุด หรือ -0.48%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 เม.ย.) ที่ระดับ 1,701.18 จุด ลดลง 1.75 จุด, -0.10%
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,569.83 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 เม.ย.65
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ร่วงลง 5.73 ดอลลาร์ หรือ 5.6% ปิดที่ 96.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.65
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (7 เม.ย.) อยู่ที่ 16.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.55 อ่อนค่าตามภูมิภาค หลังดอลลาร์แข็งค่ารับเฟดส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ย
- ศบค.เผยไทยป่วยติด ท็อป 10 โลก อาการหนัก 1,845 ราย กทม.สูงสุด นายกฯ ห่วงโควิด -19 ในเด็กเล็ก ชวนผู้ปกครอง นำบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว สธ.เผยยอดฉีดในกลุ่มเด็ก 5-11 ปีต่ำ แนวโน้มเสียชีวิตช่วงอายุ 0-4 ปีมากกว่าระลอกก่อน เหตุไม่มีวัคซีนรองรับ
- กูรูคาดปีนี้หุ้นไทย 1,810 จุด ชี้กลุ่มสถาบันลดถือเงินสด บล.เอเซีย พลัส ระบุครึ่งปีหลังนี้คาดว่านักลงทุนสถาบันจะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันที่พบว่าเงินสดที่กลุ่มสถาบันถือครองมีสัดส่วนมากกว่าปกติ และมองว่าเงินทุนที่จะเข้ามานั้นเป็นการลงทุนหุ้นที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เติบโตดีขึ้น และกลุ่มเงินที่มีการปันผลระดับที่ดี ส่งผลให้ยังเชื่อมั่นว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 65 นี้ปิดที่ 1,810 จุด ตามคาดการณ์เดิม
- กสทช.ถกปม'เอไอเอส'ค้าน'ทรู-ดีแทค'ควบรวมกิจการ แย้มกำหนดห้าม 2 ค่ายรวมเป็นบริษัทเดียวในเวลา 3-5 ปี
- เอดีบีคาดการณ์จีดีพีไทยปี 2565 โตแค่ 3% ชี้เศรษฐกิจยังมีความเสี่ยง ขาลงโอมิครอน-สงคราม ยังตามทุบเศรษฐกิจไม่เลิก พ่วงปัญหาค่าครองชีพ-ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นกดดันต่อเนื่อง พร้อมประเมินเงินเฟ้อทั้งปีแตะระดับ 3.3%
*หุ้นเด่นวันนี้
- JDF (เคทีบีเอสที) เข้าเทรดวันแรก แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 3.80 บาท ประเมินกำไรสุทธิปี 65 ที่ 74 ล้านบาท (+69% YoY) จากการคาดว่าสถานการณ์โควิด และวิกฤติขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ดีขึ้น ทำให้รายได้จากต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทกำลังขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะโซน CLMV ทำให้เพิ่มฐานลูกค้ามากขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งใจตั้งสำนักงานและหน่วยวิจัยในตลาดต่างประเทศอีกด้วย
- BDMS (กรุงศรี) แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 31 บาท จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังเร่งตัวขึ้นหนุนรายได้จากการตรวจโควิดเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยงของภาครัฐผ่านมาตรการ Test & Go รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ ช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง
- JMART (เมย์แบงก์) แนะนำซื้อ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท คาดกำไรไตรมาส 1/65 ยืนสูง QoQ, +25-30%YoY แรงหนุนหลักจาก JMT & SINGER ส่วน KBJ-Mobile จะกลับเข้าสู่ Growth phase หลังจากปรับโครงสร้าง พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและอัตราทำกำไร และมีโอกาสถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 รอบกลางปี หนุนราคาหุ้นระยะสั้น