นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท ไบโอม จำกัด ด้วยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 85 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ BBGI ได้รับสิทธิเป็นรายแรกในการนำผลงานของไบโอโอมมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะงานวิจัยผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยี Synthetic Biology รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เป็นสิทธิบัตรจากงานวิจัยของไบโอโอม
BBGI จะเข้ามามีบทบาทในด้านการวางกลยุทธ์การผลิต การตลาด และการจัดจำหน่าย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพภายใต้ความร่วมมือกับไบโอม จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สารช่วยยืดอายุผักและผลไม้ แบรนด์ X-10 ที่จะเริ่มทำตลาดในช่วงไตรมาส 2/65 โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุผักและผลไม้ให้เก็บไว้ได้นาน 7-10 วัน เจาะกลุ่มร้านค้าปลีกรายใหญ่ ร้านอาหารขนาดใหญ่ ร้านอาหารขนาดใหญ่ ผู้ส่งออกผักและผลไม้ ซึ่งจะเน้นไปที่การทำการตลาดแบบ B2B เป็นหลัก
และผลิตภัณฑ์เอนไซม์ล้างผักและผลไม้ แบรนด์ M-Green ที่มีคุณสมบัติในการทำลายโครงสร้างทางเคมีของสารพิษฆ่าแมลงที่ตกค้างในผักและผลไม้ ทำให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง และยังไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเริ่มทำตลาดได้ในไตรมาส 3/65 ซึ่งเน้นการทำตลาดทั้ง B2B และ B2C โดยที่ช่องทางการจำหน่ายแบบ B2C จะเป็นการจำหน่ายผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของ BBGI และร้านค้าพันธมิตร
นอกจากนี้ในช่วงปลายปีนี้จะมีอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ต้นน้ำที่ต่อยอดการพัฒนามาจากงานวิจัยของไบโอม ซึ่งจะขยายไปสู่ผล์ตภัณฑ์ต้นน้ำที่เป็นเครื่องมือในการปลูกผักและผลไม้แบบปลอดภัยและไร้สารพิษ ซึ่งจะเป็นการเข้ามาเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมในหลายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับบริษัทในการที่มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย
โดยที่การเข้าร่วมลงทุนใน ไบโอม ถือเป็นหนึ่งโอกาสในการต่อยอดธุรกิจของบริษัมในการพัฒนา ผลิต และจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (High value add) หรือ HVA ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่มาจากกลุ่ม HVA เพิ่มเป็น 50% ภายในปี 69 โดยที่ผลิตภัณฑ์ไนกลุ่ม HVA มีมาร์จิ้นในช่วง 30-60% ต่อผลิตภัณฑ์
สำหรับแผนการลงทุนในโครงการด้านผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (Contract Development and Manufacturing Organization) หรือ CDMO บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ที่ 2 พันล้านบาท โดยจะใช้ในการสร้างโรงงานผลิตกลุ่ม CDMO ซึ่งจะแล้วเสร็จในปลายปี 66 โดยที่ผลิตภัณฑ์ที่มาจากความร่วมมือกับไบโอมในช่วงแรกจะเป็นการให้บริษัทอื่นรับจ้างผลิตก่อน และเมื่อโรงงาน CDMO แล้วเสร็จจะมีการผลิตเองในโรงงานของบริษัท รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีการร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆที่จะทยอยประกาศออกมาจะมีการนำมาผลิตในโรงงาน CDMO เช่นเดียวกัน
นางสาวภิญญ์ชยุตม์ อัครกุลศานต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไบโอม จำกัด กล่าวว่า ไบโอมเป็นบริษัทแรกๆของประเทศไทยที่สร้างมูลค่าจากงานนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของนักวิจัยเป็นหลัก ถือเป็นบริษัทต้นๆ ของประเทศไทยที่มีนักวิจัยช่วยกันก่อตั้งเป็นธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ และใช้การประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาแปลงเป็นทุนโดยร่วมกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านบริการธุรกิจ มีความสามารถในการผลิตระดับอุตสาหกรรมและเชี่ยวชาญด้านการตลาด เพื่อให้งานวิจัยได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยมุ่งเป้าที่อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาของ BCG Model
บริษัทมีงานวิจัยที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องการวิจัยและพัฒนาด้าน Specialty Enzyme (เอนไซม์พิเศษ) และ Synthetic Biology (ชีววิทยาสังเคราะห์) จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นบริษัท Spin Off บริษัทแรกของคณะตามนโยบายการผลักดันเพื่อต่อยอดงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยมีนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายวิทยาการ รวมทั้งยังมีเครือข่ายนักวิจัยจากต่างประเทศที่เป็นพันธมิตรด้านวิชาการที่เข้มแข็ง
ทั้งนี้ ไบโอม มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างงานวิจัย พัฒนาทรัพย์สินทางปัญญาด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคม สามารถเป็น R&D Arm ให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกับ BBGI และจะร่วมมือกันในการเป็นฟันเฟืองที่ร่วมขับเคลื่อนวงล้อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตและพัฒนาไปอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยที่มีความแข็งแกร่งเรื่องการวิจัย