ทั้งนี้ งานที่บริษัทเข้าประมูลจะทยอยรู้ผลการเข้าประมูลงานภายในปีนี้ และคาดว่าจะสนับสนุนให้ Backlog ปลายสูงขึ้นแตะระดับ 200,000 ตัน และรองรับผลประกอบการยาวถึงปี 68
นายไนยวน ชิ กล่าวว่า แนวโน้มโครงการตึกสูงในญี่ปุ่นที่เกิดการชะลอตัวจากภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทประเมินว่าปีนี้ความต้องการใช้โครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่สำหรับประกอบอาคารสูงในประเทศญี่ปุ่นจะกลับมาขยายตัวสูงขึ้น หลังสถานการณ์โควิดมีแนวโน้มเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดี ประกอบกับ MCS ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการหลักของไทยที่ส่งออกโครงสร้างเหล็กไปประเทศญี่ปุ่นและเป็นบริษัทต่างประเทศแห่งเดียวที่ได้รับมาตรฐานการผลิตโครงสร้างขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น (S Grade) เชื่อว่าจะช่วยหนุนการผลิตที่มากขึ้นในปีนี้เพื่อการรองรับการเดินหน้าโครงการต่างๆในญี่ปุ่น บริษัทยังคาดว่าทิศทางของอัตรากำไร (มาร์จิ้น) ในการเข้ารับงานโครงการต่างๆ จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ที่บริษัทได้รับงานเข้ามามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และมีความยากมากขึ้น ต้องมีความชำนาญมาก จึงส่งผลให้การทำงานโครงการต่างๆ ทำกำไรได้มากขึ้น นายไนยวน ชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีผู้ถือหุ้นใหม่จากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ประกอบการโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 10% และเตรียมที่จะส่งผู้บริหารเข้ามาร่วมบริหารงานในบริษัทเพิ่มเติมด้วย "ผมจะลาออกจากตำแหน่ง เพราะผมไม่สามารถบริหารงานให้ P/E ยืนเหนือระดับ 5 เท่าได้ เราจึงเปิดโอกาสที่จะให้ผู้บริหารงานคนใหม่เข้ามา"นายไนยวน ชิ กล่าว