บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น(STEC) คาดว่าในปี 51 บริษัทจะมีกำไรสูงขึ้นจากปีก่อน ตามอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 3% ในปี 50 และในด้านรายได้ที่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 หมื่นล้านบาท จากงานในมือ(backlog)ที่มีอยู่ในขณะนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
บริษัทยังมีแผนจะเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายมีงานใหม่ราว 1.5 หมื่นล้านบาทในปีนี้ สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีแค่ 6-7 พันล้านบาท โดยงานใหม่จะมาจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยในเม.ย.บริษัทเตรียมยื่นเข้าประมูลสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่) หากได้งานคาดว่าจะไม่เข้าประมูลสายสีน้ำเงิน เพราะว่ากำลังในการเข้าไปทำงานไม่พอ
นายวัลลภ รุ่งกิจวรเสถียร กรรมการผู้จัดการ STEC กล่าวว่า งานใหม่ที่จะเข้ามายังไม่สามารถประเมินต้นทุนการก่อสร้างได้ เนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างยังไม่นิ่งโดยเฉพาะเหล็ก ที่ขณะนี้ราคาได้ปรับตัวขึ้นไปถึง 50% นับจากต.ค.50 มาเป็น 30 บาท/กิโลกรัมแล้วและมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีก ซึ่งยอมรับว่าอาจกระทบมาร์จิ้นงานรับเหมา ดังนั้น งานใหม่ที่จะเสนอราคาจะคิดบนพื้นฐานราคาเหล็กไม่ต่ำกว่าปัจจุบัน
"งานเอกชนตั้งมาร์จิ้น 10% ส่วนใหญ่เป็นงานด้านปิโตรฯ ขณะที่งานภาครัฐยังไม่สามารถกำหนดมาร์จิ้นได้ เพราะต้องประเมินสถานการณ์ และคู่แข่งด้วย...ราคาวัสดุที่ขึ้นมา ทำให้งานเก่าก็กระทบ งานใหม่ก็ไม่อยากจะเสนอราคาตอนนี้" นายวัลลภ กล่าว
นายวัลลภ ยอมรับว่า งานก่อสร้างวัดพระธรรมกายที่ได้บริษัทได้รับมาก่อนหน้านี้จะกระทบอัตรากำไรขั้นต้น เพราะช่วงที่เสนอราคาไปเมื่อต้นปี ราคาเหล็กยังไม่ปรับขึ้นมาก แต่ส่วนงานในมือ ที่เป็นงานขนาดใหญ่ทั้งแอร์พอร์ตลิงค์และศูนย์ราชการที่แจ้งวัฒนะไม่จำเป็นต้องซื้อเหล็กแล้ว เพราะเข้าสู่ช่วงขั้นตอนสุดท้ายของงานแล้ว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ 2 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปีที่แล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท
ส่วนการขายกิจการ "ซีโวล่า รีสอร์ท" ของบริษัท พี.พี.คอรัลรีสอร์ท จำกัด จากบริษัท เอชทีอาร์ ซึ่งเป็นบริษัทลูก STEC คาดว่าจะบันทึกกำไรประมาณ 50 ล้านบาท และจะช่วยทำให้กำไรของบริษัทในไตรมาส 1 ดีขึ้น
*ศึกษาตลาดอินเดีย หลังวืดงานที่การ์ต้า
ด้านนายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร STEC กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการเข้าร่วมทุนกับธุรกิจท้งถิ่นของอินเดีย เพื่อเข้าไปรับงานก่อสร้าง โดยเฉพาะจากภาครัฐ เพราะหลังจากเข้าไปสำรวจพบว่ามีโครงการจำนวนมากที่อยู่ในแผนงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นงานที่บริษัทถนัด จะมีการสร้างโรงไฟฟ้าปีละ 4 โรง ใช้เงินลงทุนประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีงานสร้างถนนและสะพานที่บริษัทสนใจ
งานในอินเดียจะเข้ามาทดแทนงานที่การ์ต้า ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ยื่นประมูลงานสร้างโรงงานปิโตรเคมีในการ์ต้า 2 โครงการ แต่แพ้ประมูลไป ซึ่งโอกาสทางธุรกิจในอินเดียค่อนข้างสูง
"ที่อินเดีย มองแล้วโอกาสได้งานมีสูง เพราะเขามีโครงการอยู่เยอะ แต่ตอนนี้เราขอเข้าไปศึกษาดูลู่ทาง คงต้องดูทั้งเรื่องกฎหมาย และภาษีให้แน่ใจก่อน คิดว่าคงยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมในปีนี้" นายวรพันธ์ กล่าว
ส่วนในเวียดนามไม่ได้สนใจเข้าไปประมูล เพราะมองว่าที่อินเดียมีงานที่ดีกว่าและกฎหมายค่อนข้างจะชัดเจนกว่าเวียดนาม
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--