นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา บริษัทเห็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม สอดรับกับมาตรการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้สถานการณ์ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างไรต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/65 ที่เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่ผู้คนเดินทางกลับบ้านใช้ชีวิตกับครอบครัว ออกท่องเที่ยวและรับประทานอาหารนอกบ้าน ทำให้การจับจ่ายใช้สอยกลับมาคึกคัก สร้างเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในประเทศมากยิ่งขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทำใหเริ่มเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย จึงมั่นใจอย่างมากว่าหากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 65 ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด สอดคล้องกับเทรนด์การเดินทางที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบ Long Stay และ Workation ซึ่งทำให้เกิดการเดินทางในวันธรรมดามากขึ้น เปิดโอกาสให้บุคลากรในหน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ และกลุ่มคนวัยทำงาน สามารถเปลี่ยนสถานที่ทุกที่ให้เป็นที่ทำงาน ท่ามกลางบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิม
จากปัจจัยบวกของการฟื้นกลับมาของการท่องเที่ยว ส่งผลให้ภาพรวมยอดจองโรงแรมของ AWC ในช่วงต้นปี 65 ทำให้ยอดจองโรงแรมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทเองก็ได้มีการลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมาโดยตลอด เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมถึงเป็นการมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้บริโภค และสร้างจุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนในระดับสากล
โดยล่าสุดได้เปิดตัว โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 65 ซึ่งถือเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 260 ห้องพัก เตรียมความพร้อมเสริมทัพรับการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด โดยโรงแรมตั้งอยู่บนพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับ Prime Location ใกล้แม่น้ำปิงและไนท์บาซาร์ย่านค้าขายที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวมถึงเป็นอีกตัวเลือกใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับธุรกิจ MICE ที่ภายในโรงแรมได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด "CHIANGMAI CHARM" โดยผสมผสานอัตลักษณ์ ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีมนต์เสน่ห์ ผ่านการตกแต่งภายในด้วยศิลปะหัตกรรมท้องถิ่นร่วมสมัย
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนออาหารและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากชุมชนที่แสดงถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์โควิด เน้นใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมผ่านแนวคิด "360 Cuisine" ที่ทางโรงแรมได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรในท้องถิ่น ส่งเสริมการผลิตแบบรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อชุมชนและห่วงโซ่อาหารอย่างยั่งยืน โดยเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นที่ได้คัดสรรมาจากฟาร์มออร์แกนิคไม่ว่าจะจากโครงการหลวง หรือ Ori9in Farm ที่สามารถสัมผัสประสบการณ์ได้ผ่านห้องอาหารของโรงแรม และที่พลาดไม่ได้กับไฮไลท์จุดชมวิวทิวทัศน์อันงดงามจาก "ไหม เดอะ สกาย บาร์" ซึ่งถือเป็นรูฟท็อปบาร์บนยอดอาคารที่สูงที่สุดในเมืองเชียงใหม่ พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนให้ได้ร่วมภาคภูมิใจ โดยถือเป็นโรงแรมแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่และของภาคเหนือภายใต้แบรนด์มีเลีย ผู้บริหารรีสอร์ทชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรปจากประเทศสเปน
บริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมภาคเหนือ พร้อมเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยว เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการพัฒนาบนทำเลศักยภาพกลางเมือง ตั้งเป้าเสริมพอร์ตคุณภาพของ AWC ในภาคเหนือให้ครบ 3 แห่งภายในปี 65 โดยจับมือกับพันธมิตรระดับโลกทั้งจากเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่) เครือมีเลีย (มีเลีย เชียงใหม่) และเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป หรือ IHG กับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปลายปีนี้ เพื่อผลักดันเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวระดับลักชัวรี่ของภูมิภาคและของประเทศต่อไป
ปัจจุบัน AWC มีกลุ่มโรงแรมในเครือทั้งหมด 19 แห่งที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศใน 6 เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ กระบี่ หัวหิน ภูเก็ต เชียงใหม่ และเกาะสมุย โดยมีจำนวนห้องพักรวมกันกว่า 5,201 ห้อง
บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าการเติบโตของภาพรวมธุรกิจและผลการดำเนินของAWC จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยที่จะมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งบริษัทคาดหวังจะเห็นการผ่อนคลายมาตรการของเดินเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติค่อยๆ ทยอยกลับมา จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลดลงไปมากหลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งเดิมริษัทมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวชาวชาติอยู่ที่ 80% แต่ปัจจุบันสัดส่วนของลูกค้าชาวไทยเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการค่อยๆฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งบริษัทยังคงมีการรักษาฐานลุกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติไว้ต่อเนื่อง เพราะทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติถือว่ามีความสำคัญการช่วยฟื้นคืนภาคการท่องเที่ยวไทยและผลการดำเนินงานของบริษัท
ขณะเดียวกันในส่วนของการจัดงานประชุมและสัมมนา (MICE) เริ่มเห็นการจองห้องประชุมและห้องพักของลูกค้าในประเทศและประเทศทยอยเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่สร้างความเชื่อมั่นในกับธุรกิจโรงแรมที่จะเริ่มมีการจัดงานประชุมและสัมมนากลับมาอีกครั้ง ทำให้มีรายได้เข้ามามากขึ้น และจะเป็นอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาช่วยฟื้นคืนภาคการท่องเที่ยวไทย เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และเป็นปัจจัยหนุนต่อการฟื้นกลับมาของบริษัทตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วยเช่นกัน