นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส (SYRUS) เปิดเผยว่าใน1-2 ปีนี้บริษัทคงจะให้น้ำหนักในการหารายได้ด้านการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลดลงเมื่อเทียบกับรายได้ด้านอื่น เช่นการหารายได้ด้านการเป็นที่ปรึกษาในการควบรวบรวมกิจการ การปรับโครงสร้าง ซึ่งดำเนินการอยูปัจจุบันมีบริษัทนอกตลาดจำนวน 2-3 บริษัท เนื่องจากภาวะตลาดไอพีโอยังไม่ดีถึงแม้กระทรวงการคลังจะอนุมัติในการยืดระยะเวลาภาษีออกไปอีก 1 ปีสำหรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ตาม รวมทั้งยังมีรายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามในส่วนดีลไอพีโอเพื่อนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3-4 บริษัทแต่คาดว่าจะสามารถนำเข้าซื้อขายในตลาดช่วงปีหน้ามากกว่า
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) ที่ 1% ในปีนี้จากปีก่อนที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 0.85% โดยจะมาจากปริมาณการซื้อขายของลูกค้าทั้งรายย่อยและลูกค้าสถาบันของบริษัทโดยเฉพาะลูกค้าสถาบันมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีก่อนอยู่ที่ 20% จากบรรยากาศการลงทุนที่เชื่อว่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีหลังจากที่การเมืองชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล โดยฝ่ายวิจัยบล.ไซรัสประเมินว่าสิ้นปีนี้ดัชนีจะอยู่ที่ 960 จุดภายใต้พีอีที่ 11 เท่า
สำหรับภาวะตลาดโดยรวมภึงแม้ขณะนี้ยังมีทิศทางที่ดี แต่ในไตรมาส 2 อาจจะผันผวนได้จากปัญหาซัพไพรม์เข้ามากระทบจากปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ส่งผลลบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นไทย ดังนั้นก็ควรเลือกลงทุนหุ้นขนาดใหญ่
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาพอร์ตลงทุนของบริษัทก็สร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนหุ้นและบอร์ดยังอนุมัติขยายวงเงินพอร์ตเพิ่มทั้งในส่วนระยะสั้น(เทรดดิ้ง) จาก 200 ล้านบาทเป็นวงเงิน 300 ล้านบาท พอร์ตระยะยาวก็เพิ่มเป็นวงเงิน 150 ล้านบาทจาก 100 ล้านบาท
"ตลาดหุ้นไทยคงจะยังได้รับความผันผวนและลากยาวไปถึงไตรมาส 2 ปีนี้จากปัจจัยภายนอกที่เกิดจากซัพพราม์ซึ่งหากเกิดปัญหาย่อมทำให้ภาวะตลาดโดยรวมไม่ดีแน่รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเรา แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะดีและคลี่คลายลง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวฝ่ายวิจัยเราจึงมองดัชนีแบบระมัดระวังที่จะเห็นปลายปีประมาณ 960 จุด " นายสมภพกล่าว
นายสมภพ กล่าวต่อว่า ในส่วนตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ที่ได้รับการเป็นสมาชิกจากคณะกรรมการตลาดอนุพันธ์และจะเปิดให้ซื้อขายในวันที่ 17 มี.ค 51 นี้จะส่งผลต่อรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยบริษัทได้ตั้งเป้าในปีแรกจะมีการเปิดบัญชีTFEX ประมาณ 350 รายและคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาด 0.7% ซึ่งจะเน้นเดิมที่ซื้อขายหุ้นที่ปัจจุบันมีบัญชีลูกค้าประมาณ 5,000-6,000 บัญชี นอกจากนี้เชื่อว่าตลาด TFEX จะเติบโตได้มากกว่าตลาดหุ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพราะจะมีสินค้าเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของการทยอยขายหุ้นทั้งในส่วนของผู้บริหารและพนักงานนั้นไม่อยากให้มองว่าเป็นสัญญานที่ไม่ดีจนทำให้ในอนาคตจะต้องออกจากบริษัทเพราะการขายหุ้นออกมาเป็นเพียงการขายเพื่อปรับพอร์ตเท่านั้นไม่ได้มีนัยอะไรสำคัญ และการลงทุนในหุ้นการซื้อหรือขายเป็นเรื่องปกติ
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/เสาวลักษณ์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 353 อีเมล์: saowalak@infoquest.co.th--