นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/65 บริษัทได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญด้านยอดขายที่มีตัวเลขเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยบวกจากการพัฒนาด้านกลยุทธ์การขาย เพิ่มสินค้าใหม่และสร้างความแตกต่าง การบริหารจัดการให้มีสินค้าพร้อมขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจัยสนับสนุนให้ตัวเลขยอดขายพุ่งแรง ทั้งเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง ราคา 4-6 ล้านบาท และตลาดระดับบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของลูกค้าเริ่มฟื้นตัว ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 64 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 1/65 นับเป็นการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย
โดยเฉพาะไตรมาส 1/65 ยอดขายสินค้าแนวราบในกลุ่มสินค้า บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด กวาดยอดขาย New High ครั้งใหม่มากถึง 6.32 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ที่ผ่านมา ซึ่งทำเลยอดนิยมที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายแนวราบดีเยี่ยมในลำดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯโซนเหนือ และตะวันออก รวมถึงในจังหวัดชลบุรี ระยอง และภูเก็ต อีกทั้งคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ยังสามารถทำยอดขายอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 2.52 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 และเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรวมไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 8.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับยอดขายรวมในไตรมาส 1/64 ที่ 7.22 พันล้านบาท
ในช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 6 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท
และในช่วงไตรมาส 2/65 บริษัทเตรียมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวม 7 โครงการ มูลค่า 9.7 พันล้านบาท ซึ่งจากยอดขายสินค้าแนวราบที่ดีในช่วงไตรมาส 1/65 มีแผนโฟกัสเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นถึง 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 8.7 พันล้านบาท พร้อมไฮไลท์ที่น่าสนใจเปิดตัวโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ระดับ Luxury
ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Gen Y ในทำเลย่านฝั่งธนบุรี จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 1 พันล้านบาท อีกทั้งมั่นใจปี 65 โครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ สามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตามแผน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยอดขาย 2.8 หมื่นล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 2.9 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะทำได้เกินจากเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2/65 และช่วงครึ่งปีหลัง 65 มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะเติบโตและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งในด้านดีมานด์กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆของภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ รวมถึงซัพพลายการเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ยังเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมอัดแคมเปญและโปรโมชันที่น่าสนใจให้เข้าถึงลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกันอย่างคึกคัก
ในส่วนของยอดขายและยอดโอนในช่วงไตรมาส 2/65 บริษัทมองว่าจะยังทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 1/65 หลังจากที่ในช่วงก่อนเข้าสู่วันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา การขายและการโอนโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทกับลูกค้ายังเห็นยอดที่เข้ามาดีอย่างต่อเนื่อง และมองว่าหลังจากผ่านพ้นช่วงวันหยุดสงกรานต์ไปแล้ว บริษัทจะมีการทำการตลาดมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการซื้อของลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะเข้ามาหนุนยอดขายและยอดโอน พร้อมกับการทยอยเปิดโครงการใหม่เพิ่มเข้ามา และมองว่าการเติบโตของยอดขายและยอดโอนในช่วงไตรมาส 2/65 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ครึ่งปีหลังนี้บริษัทมองว่ายอดขายและยอดโอนจะมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นภาวะปกติของบริษัทที่ส่วนใหญ่ยอดขายและยอดโอนจะเข้ามามากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่การซื้อขายที่อยู่อาศัยจะมีความคึกคักมากในช่วงไตรมาส 3/65 เป็นต้นไป และมีการโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามา
ในปีนี้บริษัทจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ทยอยโอนตลอดทั้ง 4 ไตรมาส รวม 7 โครงการ ซึ่งจะเฉลี่ยยอดโอนไปในแต่ละไตรมาส ทำให้ในปีนี้สัดส่วนยอดโอนในช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังจะค่อนข้างใกล้เคียงกันในสัดส่วน 45:55 หรือ 40:60 แต่ในส่วนของยอดขายในครึ่วปีหลังจะค่อนข้างมากกว่าครึ่งปีแรก เพราะจำนวนวันในการขายมากกว่า เพราะในช่วงครึ่งปีแรกมีวันหยุดยาวมากกว่าครึ่งปีหลัง และในครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะกลับมาเปิดโครงการในกรุงเทพฯมากขึ้น โดยเฉพาะแนวราบ หลังจากที่ผ่านมาบริษัทไปเน้นการเปิดโครงการแนวราบในต่างจังหวัดเป็นหลัก
ด้านต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซียและยุเครนนั้น ปัจจุบันบริษัทเห็นแนวดน้มของต้นทุนการกก่อสร้างเพิ่มขึ้นราว 4% ซึ่งมองว่าในระยะสั้นราคาขายที่อยู่สํยจากผู้ประกอบการต่างๆอาจจะยังไม่เห็นการปรับเพิ่มขึ้นทันที เพราะต้นทุนที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นต้นทุนเดิมที่เป็นต้นทุนคงที่ และมีการซื้อที่ดินมานาน ทำให้ไม่กระทบต่อราคาขายมาก และแนวโน้มของราคาต้นทุนการก่อสร้างยังมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่ และจะเป็นไปตามกลไกของตลาด ประกอบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเน้นการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่ลูกค้ามีความนิยมในการซื้ออยู่อาศัยในปัจจุบันมาก ทำให้การปรับขึ้นราคาขายทำได้ค่อนข้างยากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมองว่าโครงการใหม่ๆที่เปิดมาอาจจะเห็นการปรับราคาขึ้นราว 2% และผู้ประกอบการจะหันมาเน้นเรื่องการปรับลดขนาดของที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้
"ปี 65 ยังเป็นปีที่ท้าทายและเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง สำหรับบริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงาน ที่วางไว้ พร้อมปรับตัวก้าวผ่านทุกสถานการณ์ รวมทั้งสร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การบริการอย่างครบวงจร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่อไป" นายไตรเตชะ กล่าว