บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A" ด้วยเช่นกัน โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่อาจเพิกถอนได้โดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
ทั้งนี้ หุ้นกู้มีการค้ำประกันดังกล่าวมีสิทธิเท่าเทียมกันกับเจ้าหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ในการนี้ บริษัทตั้งใจจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวไปใช้ทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนพฤษภาคม 2565 และเงินกู้ระยะสั้นที่เบิกใช้เมื่อเดือนมีนาคม 2565
อันดับเครดิตสะท้อนถึงคุณภาพเครดิตของบริษัทในฐานะที่เป็นบริษัทโฮลดิ้งของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 98.23% นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้จากเงินปันผลที่บริษัทได้รับจากบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สำคัญของกลุ่มตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจของทริสเรทติ้งอีกด้วย
สถานะเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยที่ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทนั้นมาจากการมีสินค้าที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างหลากหลาย ตลอดจนยอดขายที่รอการส่งมอบสินค้าจำนวนมากที่ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงหนี้สินทางการเงินของกลุ่มพฤกษาที่อยู่ในระดับปานกลางและความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อยาวนานซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยไปอีกระยะหนึ่ง
รายได้จากการดำเนินงานในปี 2564 อยู่ที่ 2.84 หมื่นล้านบาทต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง 10% อัตรากำไรก็ลดลงเช่นเดียวกันแต่ยังคงสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ระดับ 15% ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ระดับ 9% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในปี 2564 ดีกว่าที่คาดการณ์ราว 1%
ทริสเรทติ้งมองว่ารายได้และกำไรจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของกลุ่มบริษัทต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่ารายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นสู่ระดับ 3.7-3.8 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2565-2566 รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลจะอยู่ที่ระดับ 300-400 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2 ปีข้างหน้า อีกทั้ง คาดว่าในช่วงแรกของการดำเนินงานของโรงพยาบาลวิมุตจะมีผลขาดทุนเกิดขึ้น แต่ผลขาดทุนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการทำกำไรโดยรวมของกลุ่มบริษัท
ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างการพัฒนาประมาณ 170 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวม 7.37 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) โดยโครงการบ้านจัดสรรคิดเป็น 80% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากยอดขายคอนโดมิเนียมลดลงในปี 2563-2564 ทำให้ยอดขายรอการรับรู้รายได้ของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 เหลือเพียง 2.03 หมื่นล้านบาทซึ่งต่ำสุดในรอบทศวรรษ
ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะส่งมอบ 93% ของยอดขายรอการรับรู้รายได้ให้แก่ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2565 และที่เหลือในปี 2566-2568 ยอดขายรอการรับรู้รายได้เหล่านี้จะช่วยประกันรายได้ส่วนหนึ่งในปีนี้ให้แก่บริษัทในช่วงที่สภาวะทางเศรษฐกิจชะลอตัว
จากงบการเงินรวมของบริษัทพฤกษา โฮลดิ้ง ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนธันวาคม 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 3.3 พันล้านบาท วงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้จำนวน 6.6 พันล้านบาท และวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้แต่สามารถยกเลิกได้จำนวน 1.57 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท และบริษัทยังมีที่ดินที่ปลอดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีที่จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทที่สามารถนำไปเป็นหลักประกันเพื่อขอวงเงินกู้ใหม่ได้ในกรณีที่จำเป็นอีกด้วย
บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 9.9 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 9.5 พันล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 400 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทพฤกษา โฮลดิ้งได้ชำระหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 3.5 พันล้านบาทด้วยกระแสเงินสดภายในกิจการและเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมจำนวน 1.91 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทมีสัดส่วนอยู่ในระดับต่ำที่ 5% ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบในด้านลำดับสิทธิเรียกร้องเหนือสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานตามที่คาดการณ์เอาไว้ได้ อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทย่อยจะสามารถส่งมอบยอดขายที่อยู่อาศัยที่รอรับรู้รายได้ได้ตามแผน แม้ว่าอุปสงค์ด้านที่อยู่อาศัยจะยังคงชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อยาวนาน แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 15% ได้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะปรับดีขึ้นเป็นประมาณ 3 เท่าในปีประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทเป็นสำคัญ หากการลงทุนในธุรกิจใหม่ประสบผลสำเร็จก็จะส่งผลในทางบวกต่ออันดับเครดิต ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในทางลบหากผลการดำเนินงานของบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจโรงพยาบาลทำให้สถานะเครดิตของกลุ่มบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ