DBSV ชูธีมลงทุนหุ้นเด่นปี 65 กลุ่มเมตาเวิร์ส-EV-เฮลท์แคร์-เปิดประเทศมาแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 20, 2022 15:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) (DBSV) เปิดเผยในงานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ "สู่การลงทุนเหนือชั้น ฝ่ายุค Digital-Metaverse-EV" ภายในหัวข้อ "DBS CIO Insight 2Q22 Anchor in the Storm" ว่า แม้เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบทางลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัว และลดความเสี่ยงของภาวะอัตราเงินฝืดหรือ stagflation

ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอสและฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนเป็น Overweight หลังจากที่รัฐบาลประกาศนโยบายหนุนเศรษฐกิจและหุ้นจีนราคาไม่แพง พร้อมกับแนะหุ้นกลุ่ม quality และตราสารหนี้กลุ่ม Investment Grade ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยหุ้นที่เป็น ธีมเด่นคือกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) และการลงทุนทางเลือก เช่น โครงสร้างพื้นฐานและทองคำ

ส่วนมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจปี 65 ประเมินว่า เงินเฟ้อสูงยัง สร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง โดยฝ่ายวิจัย DBS คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้งในปี 65 และธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB จะหยุดทำ QE

ทั้งนี้ ธนาคารดีบีเอส และฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดการณ์อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้จะเติบโต 3.5% ส่วนปีหน้าจะขยายตัว 4.2% ส่วนสหรัฐประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3% ส่วนปีหน้า 2% ด้านจีนประเมินจีดีพีปีนี้ 5.3% ปีหน้า 5% และประเทศในยุโรปคาดจีดีพี 3% ขณะที่ปีหน้า 2.5%

"เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐ จีน ยุโรปอินเดีย จะเติบโตชะลอลง ขณะที่ ขณะที่เศรษฐกิจหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19 ในปี 64 จะฟื้นตัวเร่งขึ้นในปีนี้ เช่น ญี่ปุ่น กลุ่ม ASEAN หลายประเทศยกเว้นสิงคโปร" นายธนวัฒน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลลบจากราคาน้ำมันสูงและเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อ จากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19ที่คลี่คลาย และการฟื้นตัวของภาคบริการเช่นการเดินทาง ท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการขยายตัว

ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยน ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และสถานการณ์ยูเครน ทำให้นักลงทุนโยกไปถือเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็น safe haven ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ (Fed fund rate) จะเพิ่มขึ้นมาที่ 2.5% ในปลายปีนี้ และ 3.50% ในช่วงกลางปีหน้า หนุนโดยเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ประกอบด้วยความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

ด้านนางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้ยังคงยืนเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,800 จุด อิงกับค่าพีอีเรโชว์ 18.9 เท่า โดยตั้งแต่ต้นปี 65 จนถึงสิ้นสุดวันที่ 12 เม.ย.65 (YTD) นักลงทุนต่างชาติกลับมามียอดซื้อสุทธิ 1.1 แสนล้านบาท จากช่วง 5 ปีย้อนหลังคือปี 60-64 นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิทุกปี รวมขายสุทธิสะสมเท่ากับ 6.7 แสนล้านบาท

ส่วนภาพรวมการลงทุนในไตรมาส 2/65 คาดว่าดัชนีหุ้นยังผันผวน โดยได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงจากต้นทุนผลัก (Cost Push) เฟดมีโอกาสปรับเพิ่มดอกเบี้ยอัตรา 0.5% ในการประชุม 3-4 พ.ค.นี้ สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อ รวมทั้งการขึ้นเครื่องหมาย XD หุ้นจำนวนมากในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ขณะที่โควิดยังแพร่ระบาดต่อเนื่อง และหนี้ภาคครัวเรือนสูง

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 2/65 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening) เงินสะพัดจาการหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงการที่ไทยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยตรงไม่มากนัก กลยุทธ์การลงทุน เน้นสร้างพอร์ตให้มีคุณภาพแข็งแกร่งและเติบโตได้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเลือกซื้อสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว

ธีมการลงทุนในปีนี้ บล.ดีบีเอสฯ แนะนำเลือกลงทุน ธุรกิจในโลกอนาคต หรือเมตาเวิร์ส ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั่วโลก ธุรกิจที่รับประโยชน์จากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) เนื่องจากสังคมสูงวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น กลุ่มธนาคารและประกันที่ได้อานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว หากไม่มีโควิดสายพันธ์ใหม่ที่รุนแรงเข้ามาเพิ่ม

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)กล่าวว่า บริษัทได้คัดสรรหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนเด่นในไตรมาส 2/65 โดยหุ้นที่ข้องกับการท่องเที่ยวฟื้นตัว แนะนำ AOT ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 75 บาท จากการที่ประเทศไทยและทั่วโลกทยอยผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจบริหารสนามบินกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว

ธุรกิจที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ แนะนำ MINT ราคาเป้าหมาย 40 บาท จากผลประกอบการพลิกกำไรในไตรมาส 4/64 เนื่องจากโรงแรมมีการเข้าพักมากขึ้นทั้งในไทย มัลดีฟส์ และยุโรป โดยประเมินว่าการเดินทางจะกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ ไตรมาส 1/65 ขณะที่ NH Hotel เข้าสู่ High Season ในไตรมาส 2/65 ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/65 หรือ ครึ่งปีหลังของปี 65 จะมีกำไรกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19

ขณะที่ PTT ยังเป็นหุ้นดีตามราคาน้ำมัน และ EV CAR ในอนาคต แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 57.50 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันดิบแข็งแกร่งจาก ปัจจัยสงครามรัสเซียและยูเครน ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 65 และ 66 เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% และ 15%

นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนหุ้น GPSC โดยกำหนดราคาเป้าหมาย 90 บาท เนื่องจากได้รับผลดีจากอุปสงค์ไฟฟ้าฟื้นตัวและธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV รวมทั้งยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มตามดีมานด์ลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัว และปี 65 จะมีการทยอยบุ๊กส่วนแบ่งกำไรโซลาร์ฟาร์ม Avaada ในอินเดียที่ถือหุ้น 41.6% นอกจากนี้บริษัทยังจะบันทึกกำไรขายโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น 600 ล้านบาทในไตรมาส 1/65

ด้าน ADVANC ยังเป็นหุ้นโดดเด่นในกลุ่มเทคโนโลยี, Domestic Play ราคาเป้าหมาย 250 บาท เป็นอีกหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย เน้นธุรกิจในประเทศ ได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ทำให้สถานการณ์แข่งขันลดลง

CPALL เป็นหุ้นที่คาดการณ์กำไรปีนี้โตโดดเด่น ราคาเป้าหมาย 75.25 บาท ปีนี้คาดกำไรเติบโต 81% และปี 66 โตต่ออีก 21% ปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ปรับราคาสินค้าขึ้นตามเงินเฟ้อ, มีรายได้จาก Lotus มาเสริม มีแพลตฟอร์มการขายใหม่ๆ

BH รับประโยชน์จากการเปิดประเทศและธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 64 แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 175 บาท โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/ปี 65 จะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งประมาณการกำไรปี 65 และปี 66 เมื่อเทียบกับ YoY จะเติบโต +113%/+39% ตามลำดับ โดยกำไรกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดได้ในปี 66

BEM โดดเด่นจากรถไฟฟ้า-ทางด่วนฟื้นตัว แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 10 บาท แนวโน้มไตรมาส 1/65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้า คาดว่ารายได้ปี 65 โตดี 26%

นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีหุ้นในส่วนของภาพหลักไม่เปลี่ยน โดยยังเป็นขาลงในระยะกลาง ดังนั้น ทิศทางหลักจึงเป็นการปรับตัวลง หากจะมีการปรับขึ้นจะมีนัยสำคัญแค่การรีบาวด์ฯทางเทคนิคเท่านั้น เนื่องจากดัชนีหุ้นในช่วงที่ผ่านมายังขาดแรงส่งในทางบวก หรือยังตกอยู่ใต้อิทธิพลด้านลบ (Overbought + Divergence) ด้วยปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ทิศทางตลาดฯในไตรมาส 2/65 มีทิศทางอ่อนตัวลง โดยมีแนวรับ(ย่อย) ที่มีโอกาสถูกทดสอบจะอยู่ที่ระดับ 1640 และ 1620 จุด หรืออาจถึง 1600-1580 จุด

สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1700 จุด ให้เน้นซื้อค่าบวก เพื่อลุ้นหรือรอขายที่แนวต้าน 1,710-1,720 หรือถัดไป 1,750 จุด แต่ถ้ากรณีดัชนีต่ำกว่า 1,700 จุด เน้นซื้ออ่อนตัวที่ 1,640 และ 1,620 หรือ 1,600-1,580 จุด เพื่อลุ้น/รอขาย เมื่อมีการปรับขึ้นตามมา

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มุมมอง SET50 ตลาดยังคงมีความเสี่ยงขาลง หากยังไม่สามารถกลับไปยืนเหนือ 1,010-1,015 จุดได้ ยังมีโอกาสที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแกว่งตัวลงในระยะกลาง ลงทดสอบ 960 จุด หรือต่ำกว่าได้ ต้องขึ้นไปยืนเหนือจึงจะยกเลิกมุมมองดังกล่าว

เชิงปัจจัย การขึ้นดอกเบี้ยเร็วของเฟดและการลดขนาดงบดุล ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในระยะกลางจนกว่าเราจะเห็นเงินเฟ้อพีค โดยในส่วนของการลดขนาดงบดุล ต้องติดตามว่าจะเป็นการปล่อยให้หมดอายุหรือขายออกมาในตลาด หากเป็นกรณีหลังจะกดดันตลาดได้สูง ส่วนประเด็นเรื่องยูเครน-รัสเซีย จุดเปลี่ยนที่สำคัญอยู่ที่ขอบเขตความขัดแย้งจะขยายตัวไปจนถึงสวีเดน-ฟินแลนด์ที่จะเข้าร่วมนาโต้หรือไม่ หากเข้าร่วมได้สำเร็จจะเป็นปัจจัยที่แพร่ขยายพื้นที่รบของสงครามได้และเป็นความเสี่ยงสูงต่อตลาดหุ้น ส่วนจีนลด RRR เป็นบวกต่อตลาดได้ในระยะสั้น

ส่วนทองคำ การปรับตัวลงมีแนวรับที่ไม่ควรต่ำกว่าที่ 1,960/1,915 เหรียญ/ออนซ์ จึงจะยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากหลุดต่ำกว่าแนวรับสองจะพักฐานนานหรือจบรอบ ส่วนการขึ้นมีแนวต้านที่ 2,010 กับ 2,070 เหรียญ/ออนซ์ การทะลุ 2,070 ได้จึงจะขึ้นรอบใหม่ มิฉะนั้นตอนนี้ยังแกว่งตัวในกรอบ

ค่าเงินบาท ทิศทางค่าเงินบาทระยะกลางหากทะลุ 34 บาท/ดอลลาร์ ได้จะขึ้นหรืออ่อนค่ารอบใหม่ หากพักฐานต้องไม่หลุดต่ำกว่า 33.2 บาท/ดอลลาร์ จึงจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นเพื่อทะลุ 34 บาท/ดอลลาร์ โดยส่วนต่างดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐ ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีและการทำ QT จะส่งผลให้บาททิศหลักยังเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่อง ตอนนี้แกว่งตัวเพื่อรอเบรกทะลุ 34 บาท/ดอลลาร์ หากยังไม่หลุด 33.2 บาท/ดอลลาร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ