บมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (BIS) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 6 บาท/หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีจำนวน IPO ที่เสนอขายจำนวนไม่เกิน 94,000,000 หุ้น ซึ่งบริษัทได้กำหนดระยะเวลาจองซื้อหุ้น IPO ในช่วงวันที่ 25-28 เม.ย. 65 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงต้นเดือนพ.ค. 65
การเสนอขาย IPO ของบมจ.ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ มีที่ปรึกษาทางการเงิน คือ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) และผู้รับประกันการจัดจำหน่าย ได้แก่ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.กรุงศรี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.เคทีบีเอสที และบล.ทรีนีตี้
โดยวัตถุประสงค์ในการใช้เงิน IPO ของบริษัท จะนำไปใช้เพื่อขยายโรงงานการผลิตสินค้าและการลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร ราว 80-105 ล้านบาท ภายในปี 65 รองรับการเป็นเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนสำหรับปศุสัตว์ และเพื่อต่อยอดการผลิตวัคซีนในเชิงพาณิชย์ 50-60 ล้านบาท ภายในปี 67 ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 150-200 ล้านบาท ภายในปี 65 และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท โดยคาดว่าจะได้รับเงินระดมทุนจาก IPO ทั้งหมด 539.37 ล้านบาท
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายของ BIS กล่าวว่า ราคาเสนอขาย IPO ที่กำหนดราคาไว้ที่ 6 บาท/หุ้น มี P/E อยู่ที่ 19 เท่า เป็นการให้ส่วนลดนักลงทุนราว 15-30% จากราคาประเมินโดยนักวิเคราะห์ จากราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ที่ประเมินไว้ในช่วง 7-10 บาท/หุ้น
บริษัทคาดว่าหุ้น IPO ของ BIS จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างสูง เพราะบริษัทมีโอกาสเติบโตสูง อยู่ในธุรกิจด้านไบโอเท็คซึ่งเป็น 1 ในอุตสาหกรรม New S-Curve ของรัฐบาล อีกทั้ง BIS มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจ และความสัมพันธ์ที่ดียิ่งกับลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจจำนวนมากทั้งบริษัทระดับนานาชาติและบริษัทไทย อีกทั้งอยู่ในอุตสาหกรรมด้าน ยา วัคซีน และ เวชภัณฑ์สัตว์ ซึ่งเปรียบเสมือน จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีความสำคัญและมีมูลค่าสูง จึงมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในครัวของโลก จากการที่กระทรวงอุตสาหกรรมคาดว่ามูลค่าการส่งออกอาหารจะมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาทในปี 65
อีกทั้ง BIS ยังให้ความสำคัญแก่งานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่างๆร่วมกับสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศไทย และได้ร่วมคิดค้นและพัฒนาชุดเครื่องตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) และชุดตรวจโควิด-19 แบบ RT-PCR ที่สามารถต่อยอดการใช้งานและการเติบโตต่อไปได้ในอนาคต และบริษัทยังมีการกำกับดูแลของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารองค์กรธุรกิจระดับสูง อดีตผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ และนักวิชาการด้านสาธารณสุขระดับนานาชาติ BIS จึงเป็นบริษัทที่มีการบริหารแบบมืออาชีพ มีความคล่องตัวสูง มีธรรมาภิบาลที่ดี
นักลงทุนสามารถจองซื้อหุ้นไอพีโอ BIS ได้ในระหว่างวันที่ 25-28 เมษายน 2565 ผ่านกลุ่มบริษัทผู้จัดจำหน่าย ได้แก่ บล.เมย์แบงก์ บล.กรุงศรี บล.เคจีไอ บล.เคทีบีเอสที บล.ทรีนีตี้ โดยคาดว่าจะเริ่มเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 5 พ.ค. 65
นายสัตวแพทย์ ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BIS เปิดเผยว่า บริษัทเป็นบริษัทยาและเวชภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงของคนไทย รายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทเป็น 1 ในผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่าย ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ของไทย ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากบริษัทผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ระดับนานาชาติจำนวนมากอย่างต่อเนื่องกว่า 18 ปี และมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 และโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง สำหรับผลการดำเนินงานในปี 64 BIS มีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 54 ล้านบาทในปี 63 และมีรายได้รวม 1,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายได้รวม 1,784 ล้านบาทในปี 63 และ BIS มีจุดเด่นที่หลากหลาย เช่น การเป็นผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ โดยนำเข้าจากผู้จัดจำหน่ายชั้นนำระดับโลก เป็นเจ้าของแบรนด์เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์หลากหลายแบรนด์ และมีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตนเองที่ได้มาตรฐานสากล
อีกทั้งบริษัทยังสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real Time PCR (RT-PCR) ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้าในการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจดังกล่าว โดยเป็นบริษัทรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากองค์กรอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งบริษัทยังเป็นผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างสูง มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และบริษัทยังมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ