BBL โชว์กำไร Q1/65 โต 2.8% หลังเศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากโควิด-สงครามยูเครน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 21, 2022 18:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 ของธนาคารกรุงเทพมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.8% ซึ่งธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/65 จำนวน 7,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาส 1/64 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 10.4% จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินให้สินเชื่อ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.11%

ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง% 16.1 ส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมลดลงตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากธุรกิจบัตรเครดิตและบริการประกันผ่านธนาคารและกองทุนรวม ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง 1.6% ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 49.8% ทั้งนี้ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 6,489 ล้านบาท

ธนาคารกรุงเทพยังคงดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ณ สิ้นเดือนมี.ค. 65 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,587,534 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับสิ้นเดือนธ.ค. 64 โดยมีสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่เพิ่มขึ้นสุทธิกับการลดลงของสินเชื่อกิจการต่างประเทศ

สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) อยู่ที่ 3.3% โดยที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและเพิ่มขึ้นเป็น 229%

ด้านเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมี.ค. 65 จำนวน 3,194,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการที่ลูกค้ายังคงต้องการดำรงสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงในภาวะที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 81% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 19.5% 16% และ 15.2% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 1/65 เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง จากผลกระทบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีกรอบ รัฐบาลจึงต้องเข้มงวดเรื่องการเข้าเมืองอีกครั้ง ทำให้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศชะลอลง ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน นำไปสู่การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและพลังงานโลก ตลอดจนราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท ด้วยเหตุนี้อัตราเงินเฟ้อจึงได้ปรับเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆรวมถึงประเทศไทย ทำให้การบริโภคของภาคเอกชนภายในประเทศชะลอตัว

อีกทั้งยังเป็นปัจจัยทำให้ธนาคารกลางในบางประเทศต้องเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ทำให้ภาคการส่งออกของไทยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 65 ขยายตัวได้เพียง 12.2% จากเดิมที่เคยขยายตัวได้ถึง 22.1% ในไตรมาสก่อนหน้า และในระยะข้างหน้าความผันผวนของตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะใช้เวลานานและไม่เท่ากัน โดยแต่ละธุรกิจใช้เวลาในการปรับตัวที่แตกต่างกันออกไป บางธุรกิจฟื้นตัวได้รวดเร็วเช่นกิจการส่งออกไปต่างประเทศ ในขณะที่บางธุรกิจฟื้นตัวช้ากว่าเช่นกิจการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสันทนาการ

โดยที่ธนาคารกรุงเทพได้ดำเนินการช่วยเหลือลูกค้าในแต่ละภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบในแต่ละช่วงที่ลูกค้าประสบปัญหา โดยเน้นให้การสนับสนุนสภาพคล่องทั้งในระยะสั้นเพื่อประคับประคองให้ธุรกิจอยู่รอด และสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเมื่อธุรกิจกลับมาฟื้นตัว พร้อมทั้งดำเนินธุรกิจด้วยเจตนารมณ์ของการเป็น "เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน" พร้อมแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญเพื่อสนับสนุนลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธนาคารได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ