นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า (SABINA) เปิดเผยว่า แม้ว่าช่วงไตรมาสแรก (มกราคมถึงมีนาคม) ของปีนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงความกังวลเรื่องสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์บางรายการปรับตัวสูงขึ้น แต่ทั้งสองปัจจัยไม่ได้ส่งผลกระทบกับยอดขายของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยจากการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด พบว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปี 65 ออกมาดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งปัจจัยสำคัญน่าจะมาจากการที่ผู้บริโภคปรับตัว และใช้ชีวิตเป็นปกติมากขึ้น ทำให้มีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
"ในมุมของรายได้จากการขาย เราไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่หลายคนกังวล รวมถึงความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับสินค้าของเรา เนื่องจากสินค้าในหมวดแฟชั่นแตกต่างจากสินค้าหมวดอาหาร ที่มีเวลาจำกัด แต่ชุดชั้นในหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทฯ สามารถขายได้เรื่อยๆ ทำให้ด้านการขายไม่มีปัญหา
ขณะที่ต้นทุนการผลิตก็ไม่ได้ขยับสูงขึ้น เนื่องจากเรามีการวางแผนการสั่งซื้อวัตถุดิบหลักๆ ล่วงหน้าร่วมกับซัพพลายเออร์ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านวัตถุดิบให้มีความพร้อมในการส่งเข้ากระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่ต้องการเท่านั้น (Just in time - JIT) ทำให้ไม่มีผลกระทบในเรื่องของการขึ้นราคาวัตถุดิบสืบเนื่องมาจากภาวะที่ไม่แน่นอนในระยะสั้นนี้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องผลักภาระให้กับผู้บริโภค และทำให้ลูกค้ายังสามารถซื้อสินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสมได้" นางสาวดวงดาวกล่าว
สำหรับปัจจัยที่บริษัทให้ความสำคัญและจับตามองเป็นพิเศษ ยังเป็นเรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่าจะกระทบกับบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในระยะต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งล่าสุดมีมติให้ผ่อนคลายกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น รวมถึงการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ก็จะเอื้ออำนวยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักขึ้น และจะส่งผลดีกับธุรกิจค้าปลีก รวมถึง "ซาบีน่า" ที่จะมีแรงส่งต่อไปถึงไตรมาสที่ 2 ด้วยอย่างแน่นอน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าวด้วยว่า ยังเชื่อมั่นว่าเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ที่วางไว้ที่ 20% จะเป็นไปได้ตามแผน โดยรายได้ยอดขายมีโอกาสจะกลับไปที่จุดสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ 3,295 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายสร้างยอดขายในระดับ 5,000 ล้านบาทในปี 2567 แม้จะเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ฝ่ายบริหารและทีมงานของบริษัทฯ ก็ยังคงมุ่งหวังที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้