โจทย์ที่ 1.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมมือกับ คณะกรรมการกำกรับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการพัฒนาระเบียบและกฎเกณฑ์ รวมถึงการมีตราสารประเภทใหม่ๆ ที่จะเป็นแหล่งลงทุนสำหรับธุรกิจ New Economy และ Tech Startup โจทย์ที่ 2.การส่งเสริมให้ SMEs มีแหล่งทุนที่กระจายออกมามากกว่าไปกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยจำเป็นต้องมีการผลักดันให้ SMEs เข้ามาระดมทุนในตลาดทุน โดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อที่จะเพิ่มส่วนของทุนให้มากยิ่งขึ้น และเป็นการลดการก่อหนี้ของ SMEs ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงมาก "ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯขับเคลื่อนด้วยบริษัทขนาดใหญ่ วันนี้โจทย์ของรัฐบาลชัดเจนอยากจะเห็น SMEs มีแหล่งเงินทุนที่กระจายออกไป วันนี้ต้องถามตลาดหลักทรัพย์พร้อมแล้วหรือยังกับโจทย์นี้ แน่นอนว่าที่ผ่านมาตั้งวิสัยทัศน์ว่าจะเป็นตลาดทุนของทุกคน วันนี้ SMEs จึงเป็นอีกโจทย์ใหญ่สำหรับตลาดทุน"นายไพบูลย์ กล่าว โจทย์ที่ 3.ความท้าทายจากพฤติกรรมของนักลงทุน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เงินไหลออกไปยังต่างประเทศ หลังจากช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นส่วนหนุนให้นักลงทุนมีความคุ้นเคยกับการไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งสินทรัพย์ในตลาดต่างประเทศได้รับความนิยม โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี "นักลงทุนปัจจุบันเน้นเข้าไปลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีความคุ้นเคย อาทิ TESLA เป็นต้น แน่นอนว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลยเงินก็ออกไปหมด แต่วันนี้ผมก็เชื่อว่ายังมีตราสารหลายๆประเภทที่ตลาดหลักทรัพย์สามารถสร้างขึ้นได้เพื่อที่จะให้เงินยังอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย"นายไพบูลย์ กล่าว โจทย์สุดท้าย คือ ทำอย่างไรถึงจะทรานส์ฟอร์มให้สามารถรองรับการระดมทุนในรูปแบบของดิจิทัลได้ โดย Digital Transformation ในตลาดทุนเริ่มเกิดขึ้นมาได้ไม่นาน ปัจจุบันเริ่มเห็นการแข่งขันมาจากสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) ต่างๆที่เกิดขึ้นมา โดยหากสามารถทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเข้าถึง สามารถซื้อขายหุ้นแบบสัดส่วนได้ และ มีสินทรัพย์ประเภทที่มีโอกาสการเติบโตสูง ที่ไม่ใช่สินทรัพย์เก็งกำไร (Speculative) มองว่าจะช่วยดึงให้นักลงทุนรุ่นใหม่เข้าสู่สินทรัพย์ดั้งเดิมในรูปแบบของโทเคนที่เติบโตสูงเช่นเดียวกับคริปโตได้ นายณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ Managing Director สถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์มีความท้าทายค่อนข้างมาก และมีความจำเป็นมากที่จะต้องรู้จุดแข็งของตัวเองและตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ให้ได้ โดยมี 3 เทรนด์หลักสำหรับยุคดิจิทัลที่สำคัญกับธุรกิจและตลาดทุนในปัจจุบัน คือ 1. Big Data & AI หากบริษัทไหนไม่มีอาจทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน 2. Covidization ส่งผลกระทบด้านการเข้าถึงการลงทุน 3.Web3.0 & Blockchain มาเร็วและกระทบตลาดทุนแทบทุกส่วน ทั้งนี้ มองว่ามี 6 สิ่งที่สำคัญต่อตลาดหลักทรัพย์มากๆ คือ 1.New & Rekindled Interest in Investing คนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เริ่มต้นลงทุนครั้งแรกผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล กลุ่มคนเหล่านี้แม้ไม่ได้มีกำลังซื้อที่ใหญ่แต่เปิดรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ และถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต จึงควรที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้ 2.Speed, Convenience, Flexibility การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น สะดวก และยืดหยุ่น ล้วนเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกรุ่นต้องการ ควรสร้างบริการและสินค้าใหม่รองรับ แต่ต้องไม่ทิ้งสินค้าเดิม เพราะสินค้าใหม่ แม้จะมีการเติบโตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน จึงสมควรที่จะ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และผลิตภัณฑ์ลงทุนใหม่ๆ ที่เติบโตสูงให้มากขึ้น 3.Being Early เร็วกว่าเดิม ทั้งการระดมทุนและเข้าถึงนักลงทุนให้ได้เร็วกว่าเดิม ส่วนอีกด้าน คือ ด้านธุรกิจ หมายถึงโอกาสของบริษัทที่เข้าถึงดีลที่ดีได้เร็วกว่าเดิม จึงสมควรที่จะ เปิดโอกาสให้นักลงทุนค้นหาบริษัทที่เป็น Blue Chip ได้เร็วขึ้น และบริษัทที่เป็น Blue Chip ใหม่ๆเข้าถึงการระดมทุนได้ง่ายและรวดเร็ว 4.Approachability สร้างการเข้าถึง รู้จัก และเข้าใจผลิตภัณฑ์ลงทุนได้ง่าย จึงสมควรที่จะทำให้ตัวตนทางโซเชียลมีเดียของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสนุกและเป็นทางการได้ในเวลาเดียวกัน 5.Collectivity หลายๆ ครั้งที่นักลงทุนได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนธุรกิจ จึงเป็นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ควรเชื่อมให้ใกล้ขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ทั้งในเรื่องการบริหารจัดการ (Management) ธรรมาภิบาล (Governance) ความโปร่งใส (Transparency) ไปจนถึงความยั่งยืน (Sustainability) ปัจจัยนี้ สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยการทำให้เกิดความเชื่อมต่อกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ กับนักลงทุนได้ โดยไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นทางการเสมอไป และ 6.Investor Education เทรนด์นี้จะเปลี่ยนจากกูรูที่แนะนำการลงทุน สู่ Community Investing มากยิ่งขึ้น จึงสมควรที่จะส่งเสริมให้นักลงทุนค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สร้างสมดุลในการกำกับดูแล น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า เทรนด์สำคัญสำหรับโลกและการลงทุนในอนาคต คือ ความยั่งยืน (Sustainability) ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องสังคมคาร์บอนต่ำก็สำคัญมาก หากไม่ตามเทรนด์ จะค้าขายกับประเทศอื่นในโลกอนาคตได้ลำบาก ขณะที่การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (Inclusiveness) นักลงทุนให้ความสนใจเช่นเดียวกัน เพราะกระทบต่อการทำธุรกิจยั่งยืน ปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญกับ ESG มาก จากผลสำรวจของ BlackRock พบว่า ครึ่งหนึ่งของนักลงทุนสนใจลงทุนในบริษัทที่มี ESG เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ และอีกครึ่งสนใจเพราะเป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีกว่าบริษัทที่ไม่มี ESG โดยบริษัทขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ให้ความสำคัญกับ ESG เช่น ในไทยอย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งจะมองถึง ESG Rating ของบริษัทต่างๆ และนำไปเปรียบเทียบว่าจะลงทุนในบริษัทไหน จึงเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดทำ ESG Rating เพื่อให้นักลงทุนสามารถหาข้อมูลได้ง่ายมากขึ้น ด้านคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นทั้งลูกค้าและแรงงานได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก อย่าง Climate Change สิทธิ ความเท่าเทียม ความหลากหลาย ความสัมพันธ์ของบริษัทกับการเมือง ขณะที่คนรุ่นเก่าให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการขยายตัวทางเศรษฐกิจพอๆ กัน "อยากให้บริษัทและนักลงทุนให้ความสำคัญกับ ESG เพราะในอนาคตจะกระทบกับความยั่งยืนทั้งธุรกิจและเศรษฐกิจแน่นอน เชื่อมั่นว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นตัวกลางในการสื่อสารและช่วยส่งเสริม ESG ให้กับทั้งธุรกิจและนักลงทุนได้ดียิ่งขึ้น"น.ส.กิริฎา กล่าว นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงจุดแข็งของตลาดทุนไทยในปัจจุบันใน 4 เรื่อง 1.สภาพคล่องดีขึ้นมาก มีการซื้อขายวันละเกือบแสนล้านบาท 2.การเข้าจดทะเบียน มีทั้งบริษัทใหญ่และกลาง อยู่ในธุรกิจที่ไทยมีจุดแข็ง เช่น อุตสาหกรรมอาหารและท่องเที่ยว 3.สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าในประเทศ 4.ฐานนักลงทุนเติบโตขึ้น ปัจจุบันมีกว่า 5 ล้านบัญชี ขณะที่โจทย์ใหญ่ 4 ด้านที่ผู้ร่วมเสวนาทั้ง 3 ท่านชี้จุดสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนไทยที่ต้องเผชิญกับทั้งความท้าทายและโอกาส ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งมั่นทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อปรับปรุงและส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ 1.การลงทุนแบบไร้พรมแดน ตลาดหลักทรัพย์เตรียมพัฒนา Online Application ที่สามารถเปิดบัญชีแบบ e-Open Account ให้ลงทุนได้สะดวกตลอดเวลา ปลอดภัย เชื่อมต่อกับต่างประเทศได้ พร้อมทั้งเสนอผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ Fractional DR ที่ลงทุนได้เหมือนกับสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน และสามารถซื้อขายได้ตามทุนทรัพย์ 2.การเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม โดยการสนับสนุนการเข้าถึงตลาดทุนไทยของ SMEs และ Startups ผ่าน LiVE Platform ในรูปแบบ Partnership Platform ด้วยความร่วมมือกับทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ในเตรียมความพร้อมบริษัทเหล่านี้ และบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต ให้สามารถเข้าระดมทุนได้ใน LiVE Exchange รวมถึงการออกกฎระเบียบให้กับภาคธุรกิจ New S-Curve และธุรกิจเทคโนโลยีให้เข้ามาระดมทุนได้ง่ายขึ้นด้วย 3.กระบวนการบริการแบบดิจิทัล และการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยในอนาคต Streaming จะเป็น Super App ในรูปแบบ One Stop Service ที่สามารถลงทุนได้ทั้งสินทรัพย์ดิจิทัล อย่าง Investment Token และ Utility Token ร่วมกับสินทรัพย์ดั้งเดิม รวมถึงลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ผ่าน Fractional DR ด้วยเงินบาท 4.การลงทุนยั่งยืน โดยหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า การส่งเสริมธรรมาภิบาลเป็นเรื่องสำคัญ มีการจัดตั้งสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และ CG Center ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาต่อยอดมาจนถึง CSR, ESG และการทำธุรกิจยั่งยืนในปัจจุบัน ผลที่ได้รับดีมาก บริษัทจดทะเบียนไทยได้รับการยกย่องทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
นายภากร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพัฒนาการต่อเชื่อมข้อมูล ESG ของบริษัทจดทะเบียน นำมาสร้างเป็นฐานข้อมูล ผ่าน "ESG Data Platform" และส่งต่อให้กับผู้ต้องการใช้อย่างสะดวก มีมาตรฐาน มีความเหมาะสมกับธุรกิจ รวมถึงส่งเสริมให้นักวิเคราะห์สนใจวิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ ESG ให้กับนักลงทุน เช่น กองทุนรวม และ Index เหล่านี้คือกระบวนการในการสนับสนุนให้การทำธุรกิจอย่างยั่งยืนมีความหมายและได้ผลอย่างแท้จริง "แน่นอนว่าในอนาคต เราต้องเจอความท้าทายอีกมาก แต่ความท้าทายนั้น ก็มาพร้อมกับโอกาสใหม่ด้วยเช่นกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และเดินหน้าร่วมกับพันธมิตรเชื่อมโยงโอกาสสู่ตลาดทุนแห่งอนาคต"นายภากร กล่าว