ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 6.1 พันลบ.CK ที่ A- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 27, 2022 16:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ช. การช่าง (CK) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6.1 พันล้านบาทไถ่ถอนภายใน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ "A-" เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ชุดใหม่ใช้แทนอันดับเครดิตหุ้นกู้เดิมที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะเพิ่มวงเงินรวมของหุ้นกู้เป็น 6.1 พันล้านบาท จากเดิม 6 พันล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมบางส่วนและใช้เป็นเงินทุนในการขยายกิจการ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำในประเทศไทยซึ่งมีความสามารถในการรับงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และโครงการที่มีความซับซ้อน และความยืดหยุ่นทางการเงินที่เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม สถานะเครดิตของบริษัทก็ลดทอนลงบางส่วนจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและภาวะราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ผลการดำนินงานของบริษัทในปี 2564 สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง มูลค่างานในมือของบริษัท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดที่ 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ทริสเรทติ้งประมาณการรายได้ของบริษัทว่าจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.0-3.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566 และปี 2567

ถึงแม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนแรงงานจะเพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทก็คาดว่าจะรักษาระดับอยู่ที่ 8.5% ตลอดช่วงประมาณการ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.7 พันล้านบาทในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5-3.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567

อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 17 เท่าในช่วงปี 2563-2564 ซึ่งสูงกว่าในอดีตของบริษัทที่ 8-10 เท่าเป็นอย่างมาก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนนี้จะลดลงมาอยู่ที่ 14 เท่าในปี 2565 และลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 11-12 เท่าในช่วงปี 2566-2567

ขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 59% ณ สิ้นปี 2564 เพิ่มขึ้นจาก 57.7% ในปี 2563 ทั้งนี้ หากบริษัทไม่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทในกลุ่มอีกต่อไป อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทก็จะทรงตัวอยู่ในระดับ 55%-60% ในช่วงประมาณการ บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้สอดคล้องตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ให้เกินกว่า 3 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าว ณ เดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 1.4 เท่า ขณะที่ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งทำให้หนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทอยู่ในระดับต่ำ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 7 พันล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.4 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 6.7 พันล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 5.5 พันล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินจำนวน 1.2 พันล้านบาท อีกทั้งคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.8 พันล้านบาทเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายการลงทุน เงินปันผลจ่ายและเงินลงทุนบริษัทในเครือ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย โดย ณ สิ้นปี 2564 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนดังกล่าวมีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 6.28 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 1.4 เท่าของภาระหนี้รวมของบริษัท หากจำเป็นบริษัทก็สามารถขายหุ้นบางส่วนในบริษัทเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงการถือหุ้นในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญในบริษัททั้ง 3 แห่งนี้ต่อไป

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูงในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเอาไว้ได้ต่อไปโดยจะสามารถประมูลได้งานใหม่ ๆ จากโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้นและบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินได้ตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรจาก EBITDA ให้อยู่ในช่วง 10%-12% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้อยู่ที่ประมาณ 10 เท่าเอาไว้ได้ในระยะยาวอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการและลดระดับภาระหนี้ของบริษัทลงจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ในขณะที่ ปัจจัยที่จะส่งผลกดดันต่ออันดับเครดิตอาจเกิดจากการมีต้นทุนก่อสร้างที่สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญในโครงการหลัก ๆ หรือที่ไม่คาดคิด รวมถึงบริษัทให้การสนับสนุนทางการเงินที่มีมูลค่าสูงแก่บริษัทในกลุ่มซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นเกินกว่า 13 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ