บล.พาย (Pi) มองว่า วันศุกร์ที่ผ่านมา Dow Jones ปรับฐานแรง 2.7% หลักๆปัจจัยกดดันยังเป็นเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐรวมถึงผลประกอบการบางบริษัทที่ออกมาต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะเดียวกันสหรัฐได้รายงานเงินเฟ้อ (Core PCE) +0.3%MoM +6.6%YoY นับเป็นการขยายตัวที่สูงสุดในรอบ 40 ปี มองเป็นปัจจัยที่จะกดดันตลาดหุ้นไทยในวันทำการแรก
ส่วนสัปดาห์นี้ตลาดจะให้น้ำหนักกับการประชุม FED ที่คาดทราบผลอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย เบื้องต้นตลาดคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% อย่างไรก็ตามมองการขึ้นดอกเบี้ยไม่มีผลมากกับการลงทุน เชื่อว่าถ้อยแถลงหลังประชุมรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในระยะถัดไปมีผลมากกว่า โดยตลาดคาดสิ้นปี 2565 ดอกเบี้ย FED จะเฉลี่ยอยู่ 2.9%หากไม่มีสัญญาณที่เข้มงวดกว่าตลาดคาดก็มองมีผลจำกัด แต่หากส่งสัญญาณที่เข้มงวดกว่าก็เสี่ยงจะปรับลงปัจจัยอื่นๆได้แก่การรายงานภาคแรงงานสหรัฐในวันศุกร์โดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคเกษตร Bloomberg คาด 3.9 แสนตำแหน่งพร้อมกับอัตราการว่างงานที่ 3.5% เชื่อว่าตลาดไม่ต้องการเห็นตัวเลขที่ร้อนแรงจนเกินไปเพื่อให้ FED ดำเนินนโยบายที่ไม่เข้มงวดมากนัก
ด้านในประเทศวันพฤหัสบดีกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดรายงานเงินเฟ้อประจำเดือน เม.ย. Bloomberg คาดขยายตัว 4.9%YoY และ 0.6%MoM เราเชื่อว่าทิศทางเงินเฟ้อไทยยังมีโอกาสเร่งขึ้นได้อีกหนุนจากการที่รัฐบาลเริ่มปล่อยราคาน้ำมันดีเซลให้ขยับสูงมากยิ่งขึ้น มีผลตั้งแต่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาสินค้าต่างๆจะขยับขึ้นนอกจากเร่งเงินเฟ้อแล้วยังกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างเลี่ยงมิได้ และสุดท้ายกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน
ล่าสุด Bloomberg ปรับลดกำไรรวมของตลาดลงมาอยู่ที่ 94.4 บาท/หุ้น จากก่อนหน้าอยู่ที่ 97 บาท/หุ้น ถัดมาเป็นเรื่องของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน Bloomberg คาด จะมี (GPSC) รายงานในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ประเมิน SET เคลื่อน ไหวในกรอบ 1650 - 1680 เชิงกลยุทธ์การลงทุนไม่เร่งร้อนลงทุนเช่นเดิมเนื่องจากระดับ Valuation ยังค่อนข้างแพง
อย่างไรก็ตามระยะสั้นแนะหุ้นที่มีปัจจัยบวก อาทิ ส่งออก (ASIAN TU) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) โรงกลั่น (BCP SPRC TOP)
ASIAN (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 23 บาท) ประเมินกำไรฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/65 จากรายได้อาหารสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งขึ้น หนุนจากกำลังการผลิตใหม่และอัตรกำไรที่ปรับดีขึ้นจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผ่อนคลายลง
SPA (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท) คาดผลประกอบการจะแตะจุดต่ำสุดของปีในไตรมาส 1/65 ด้วยผลขาดทุนสุทธิ 55 ล้านบาท ก่อนที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป ด้วยแรงหนุนจากการเปิดประเทศ