ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร UAC ที่ "BBB-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 5, 2022 11:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจซื้อมาขายไปซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท และเงินปันผลจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง ตลอดจนการก่อหนี้ในระดับต่ำของบริษัท ขณะเดียวกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนลงจากการพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงธุรกิจพลังงานของบริษัทที่ยังมีผลการดำเนินงานไม่ดีนักและมีความเสี่ยงในด้านการจัดการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการใหม่ ๆ ของบริษัท

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

  • มีความแข็งแกร่งในธุรกิจซื้อมาขายไป ทริสเรทติ้งเห็นว่าความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปเป็นจุดแข็งหลักของบริษัท ด้วยประสบการณ์ที่มากกว่า 2 ทศวรรษในธุรกิจนี้ บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้กับผู้ผลิตสินค้าชั้นนำในระดับโลก เช่น Honeywell และ PALL Corporation สินค้าของบริษัทเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำด้านเทคนิคซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรักษาลูกค้าเอาไว้ได้ ลูกค้าประจำส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโรงกลั่นน้ำมันและบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในประเทศไทย

การซื้อขายสารเคมีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทโดยมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทน่าจะยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปเอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากประวัติที่ยาวนานของบริษัท ความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ารายสำคัญ และความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่าง ๆ

  • มีการพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง ความแข็งแกร่งของธุรกิจซื้อมาขายไปลดทอนลงจากการกระจุกตัวทางธุรกิจในระดับสูง โดยบริษัทสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ 5 อันดับแรกในสัดส่วนรวมกันประมาณ 70% ของทั้งหมด ทั้งนี้ สัญญาดังกล่าวส่วนใหญ่จะไม่ได้มีการจำกัดตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวและมีระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี แม้สัญญามักจะทำในระยะสั้น ๆ แต่บริษัทก็สามารถต่อสัญญาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสะท้อนความสัมพันธ์ในระยะยาวระหว่างกัน

ในขณะเดียวกัน ลูกค้ารายใหญ่ 5 อันดับแรกของบริษัทสร้างรายได้ในสัดส่วนประมาณ 40% ของรายได้รวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้าของบริษัทโดยทั่วไปแล้วมีความต้องการใช้สารเคมีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดอายุของโรงงาน และการเปลี่ยนตัวแทนผู้จำหน่ายสินค้าก็อาจเป็นการสร้างภาระต้นทุนได้

  • รายได้ถูกกระทบจากโรคระบาด ธุรกิจซื้อมาขายไปของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งส่งผลให้รายได้ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อุปสงค์ต่อสินค้าของบริษัทลดต่ำลงเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันลดการผลิตและชะลอการลงทุนต่าง ๆ ออกไปจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโรค ทั้งนี้ อัตรากำไรของธุรกิจดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และทรงตัวในระดับที่น่าพอใจประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้หลักของบริษัทจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมัน
  • รายได้จากเงินปันผลจำนวนมาก อันดับเครดิตสะท้อนเงินปันผลจำนวนมากที่บริษัทได้รับจาก บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด (BBF) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมแห่งหนึ่งที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 30% บริษัทรับรู้เงินปันผลจำนวนมากจาก BBF ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทำให้ช่วยลดผลกระทบจากการลดลงของกำไรของธุรกิจซื้อมาขายไปได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ BBF ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลซึ่งใช้ผสมกับน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงและกลีเซอรีนดิบ BBF กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงจากอุปทานส่วนเกินและส่วนผสมไบโอดีเซลที่ลดลงอันเนื่องมาจากมาตรการในปัจจุบันของรัฐบาลที่จะควบคุมราคาน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่า BBF จะยังสร้างเงินปันผลให้แก่บริษัทได้อย่างมีสาระสำคัญในระยะยาวจากผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลที่มีแนวโน้มเติบโต โดยบริษัทน่าจะได้รับเงินปันผลจาก BBF ปีละ 150-180 ล้านบาทในช่วงปี 2565-2567 ภายใต้ประมาณการของทริสเรทติ้ง
  • ธุรกิจพลังงานมีผลการดำเนินงานไม่ดีนัก สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทมีการลงทุนในหลายโครงการซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และโดยส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานไม่ดีนักเนื่องจากความไม่เพียงพอของเชื้อเพลิง ความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง ตลอดจนจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ

โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (PPP) และโรงไฟฟ้าก๊าซ 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดสุโขทัยมีความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิง การดำเนินงานของโรงงานเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ขายก๊าซ 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) และ บริษัท สยามโมเอโกะ จำกัด (SML) โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา PTTEP ลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลงขณะที่ SML ก็หยุดการผลิต ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของโรงงานของบริษัทเหล่านี้ไม่มั่นคง

บริษัทเพิ่งรับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมจาก SML และวางแผนผลิตปิโตรเลียมบนบกใกล้กับโรงงาน PPP ของบริษัท ด้วยเงินลงทุนเพิ่มเติมประมาณ 50 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะได้รับก๊าซเพิ่มเติมซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณวัตถุดิบและกำลังการผลิตให้กับโรงงาน PPP และโรงไฟฟ้าของบริษัทได้ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และเนื่องจากบริษัทยังขาดประสบการณ์ในการผลิตประกอบกับความไม่แน่นอนของปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทริสเรทติ้งจึงประมาณการเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวอย่างระมัดระวัง ความเสี่ยงในด้านการจัดการต่าง ๆ ของโครงการใหม่ ๆ

นอกจากการผลิตปิโตรเลียมแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ ๆ ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพในจังหวัดขอนแก่นและโครงการจัดการขยะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริษัทชนะการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (ภูผาม่าน) ขนาด 3 เมกะวัตต์ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง โดยบริษัทร่วมลงทุนและแบ่งผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวกับวิสาหกิจชุมชน ซึ่งบริษัทวางแผนจะเริ่มผลิตไฟฟ้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเมื่อพิจารณาจากอัตราค่าไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำและความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงในการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ

อันดับเครดิตยังพิจาณาถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโครงการในต่างประเทศแห่งแรกของบริษัท โดยโครงการใน สปป.ลาว ประกอบด้วยการก่อสร้างระบบบริหารจัดการขยะและโรงไฟฟ้า ในระยะแรก โครงการจะรับขยะชุมชนจากนครหลวงเวียงจันทร์เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel ? RDF) แล้วจำหน่ายให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ ส่วนในระยะที่สอง บริษัทจะสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ RDF ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าของ สปป.ลาว (Electricite du Laos ? EDL) โครงการดังกล่าวใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 800 ล้านบาทซึ่งค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับความสามารถในการลงทุนของบริษัท ในการนี้ บริษัทจำเป็นต้องได้สัญญาหลัก ๆ ก่อน เช่น สัญญารับซื้อเชื้อเพลิง RDF และสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA)

ทริสเรทติ้งมองว่าโครงการบริหารจัดการขยะมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในด้านขนาดของโครงการ การขาดประสบการณ์ในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ ตลอดจนความน่าเชื่อถือของผู้รับซื้อไฟฟ้า ดังนั้น ทริสเรสติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะพัฒนาโครงการและลงทุนอย่างระมัดระวัง อีกทั้งจะดำเนินการเฉพาะในระยะแรกซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาทโดยทำสัญญากับผู้ซื้อเชื้อเพลิง RDF ที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการดำเนินการในระยะที่สองจะไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้จึงยังไม่รวมไว้ในประมาณการของทริสเรทติ้ง

  • การก่อหนี้อยู่ในระดับต่ำ ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจซื้อมาขายไปจะยังเป็นธุรกิจหลักในการสร้างผลกำไรให้กับบริษัทและจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ ขณะที่ธุรกิจพลังงานน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากมาตรการต่าง ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) ที่ประมาณ 20% ขณะที่ EBITDA น่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 400 ล้านบาท และเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 350 ล้านบาทในช่วงประมาณการ

อันดับเครดิตสะท้อนคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าการก่อหนี้ของบริษัทจะยังอยู่ในระดับต่ำและบริษัทจะไม่มีการลงทุนจำนวนมากในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยมีจำนวนเงินลงทุนรวมกันประมาณ 260 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วงปี 2565-2567 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2-3 เท่า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ 35%-40% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะทรงตัวในระดับต่ำที่ประมาณ 30%-35%

ณ เดือนธันวาคม 2564 หนี้สินของบริษัทไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนรวมกันทั้งสิ้น 817 ล้านบาท ในจำนวนนี้ถือเป็นหนี้สินที่มีสิทธิได้รับชำระคืนก่อนซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้สินทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวน 335 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเทียบกับหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 41%

  • สภาพคล่องบริหารจัดการได้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม โดย ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินระยะยาวที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจำนวนทั้งสิ้น 483 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนมิถุนายน 2565 จำนวน 300 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะทดแทนหุ้นกู้ดังกล่าวด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ บริษัทมีแหล่งสภาพคล่องได้แก่วงเงินธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ เงินสด และเงินลงทุนในหลักทรัพย์จำนวนรวมกันทั้งสิ้น 537 ล้านบาท

หุ้นกู้ของบริษัทกำหนดให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไว้ไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าว ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 0.5 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงประมาณการ

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ในช่วง 1.7-2 พันล้านบาทในช่วงปี 2565-2567
  • EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 20%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ 260 ล้านบาทตลอดช่วงประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปของบริษัทเอาไว้ได้ โครงการลงทุนใหม่ ๆ จะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และบริษัทจะไม่ขยายธุรกิจจำนวนมากในช่วงหลายปีข้างหน้า ขณะที่กำไรและระดับหนี้สินของบริษัทจะสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะอันใกล้ แต่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มขนาดของฐานกำไรได้อย่างมีสาระสำคัญ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ธุรกิจพลังงานของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากและได้รับผลตอบแทนที่ดีจากโครงการลงทุนใหม่ ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากกำไรของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และ/หรือ สถานะทางการเงินถดถอยลงอย่างมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ