บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) หุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท ของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AA+(tha) แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) ที่ ?AA+(tha)?
หุ้นกู้ดังกล่าวมีสถานะเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทและได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC เช่นเดียวกันกับหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของบริษัท
สำหรับเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้สำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดและใช้สำหรับการลงทุน
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
- อัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC จะลดลงมาอยู่ที่ 2.6 เท่า ในปี 2565 และ 2.2 เท่า ในปี 2566 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.1 เท่าในปี 2564 เนื่องจากการเข้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH หรือ Allnex ที่แล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 การปรับลดอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC อยู่บนสมมุติฐานของฟิทช์ว่า PTTGC จะใช้กระแสเงินสดสุทธิ (Free Cash Flow) ประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท ในการชำระคืนหนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตามการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินอาจมีความเสี่ยงหากมีการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยใช้หนี้เพิ่มขึ้น ความตั้งใจของบริษัทในการเข้าซื้อกิจการได้เพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ตามเป้าหมายของบริษัทเพื่อเพิ่มสัดส่วนกำไรจากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูง เป็นร้อยละ 35 ภายในปี 2573 (ในปี 2563 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 10) สถานะทางเครดิตของบริษัทอาจอ่อนแอลง หากบริษัทใช้เงินในการเข้าซื้อกิจการ ในช่วงก่อนที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะปรับลดลงจนเพียงพอในการรองรับการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว
- การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น: การเข้าซื้อกิจการ Allnex สอดคล้องกับกลยุทธ์ของ PTTGC ในการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และการกระจายธุรกิจไปยังธุรกิจเคมีเกรดพิเศษ (Specialty Chemical) ซึ่งผลิตภัณฑ์และธุรกิจดังกล่าวมีเสถียรภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบพื้นฐานในช่วงที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทางมีความผันผวนที่ต่ำกว่า
ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากผลิตภัณฑ์เคมีที่มีมูลค่าสูง จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 16-17หลังจากการเข้าซื้อ Allnex จากระดับปัจจุบันที่ประมาณร้อยละ 10 ซึ่งทำให้สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ Allnex จะช่วยให้ PTTGC เข้าถึงลูกค้าในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ PTTGC มียอดขายในระดับจำกัด และเพิ่มความแข็งแกร่งของสถานะทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ฟิทช์เชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ EBITDA ของ PTTGC มีเสถียรมากขึ้น และเพิ่ม EBITDA margin ประมาณร้อยละ 1-2 Allnex เป็นบริษัทผู้ผลิต Resins ที่ใช้ในอุตสาหรรม Coating ชั้นนำของโลก โดยบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และครอบคลุมอุตสาหกรรมจำนวนมาก
- กำไรที่คาดว่าจะลดลง: ฟิทช์คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของ PTTGC น่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565 (ปี 2564 อยู่ที่ 5.9 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากไม่มีกำไรจากมูลค่าสต๊อกน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะปรับตัวลดลง แต่กำไรก็จะยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าในช่วงปี 2562-2563
ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีน่าจะปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่และอัตราการเติบโตของความต้องการที่ช้าลง ค่าการกลั่น (ที่ใม่รวมกำไร/ขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน) ในปี 2565 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 เนื่องจากการเดินทางที่มากขึ้นและภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
- ความสัมพันธ์กับ ปตท.: อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ PTTGC ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับเพิ่มอันดับเครดิตขึ้นสองอันดับจากสถานะเครดิตโดยลำพังของบริษัท (Standalone Credit Profile) ของ PTTGC ซึ่งอยู่ที่ ?aa-(tha)? ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงแรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ PTTGC ในระดับปานกลาง ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของฟิทช์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่กับบริษัทลูก (Parent and Subsidiary Rating Linkage Methodology)
ฟิทช์เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่ง PTTGC เป็นหนึ่งในบริษัทหลักของธุรกิจนี้ มีความสำคัญต่อ ปตท. นอกจากนี้ PTTGC ยังเป็นผู้รับซื้อวัตถุดิบที่เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายใหญ่ของ ปตท. และเป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของ ปตท. ปัจจัยดังกล่าวทำให้ฟิทช์พิจารณาว่า แรงจูงใจในการให้การสนับสนุนแก่ PTTGC ในด้านความสำคัญทางกลยุทธ์ (Strategic incentive) และความสำคัญทางด้านดำเนินงาน (Operational incentive) อยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่แรงจูงใจทางกฎหมาย (Legal incentive) อยู่ในระดับต่ำ
- การผลิตที่ครบวงจรและต้นทุนการผลิตที่ต่ำ: PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูง ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากกว่า และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับผู้ผลิตปิโตรเคมีและน้ำมันอื่นๆ ในประเทศ นอกเหนือจากนี้ PTTGC ยังมีความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิตเนื่องจากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ คือก๊าซธรรมชาติซึ่งจัดหาได้จากภายในประเทศ และบริษัทยังได้รับประโยชน์จากการที่มีสัญญาการจัดหาวัตถุดิบระยะยาวกับ ปตท.ซึ่งช่วยลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบได้
- ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ตามวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ความผันผวนของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ ค่าการกลั่น ราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทนอกจากนี้ PTTGC ยังมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบน้อยแหล่ง เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตส่วนใหญ่มาจากปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัท รับวัตถุดิบส่วนใหญ่จาก ปตท.ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ ปตท. มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่งและเป็นผู้ดำเนินธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ในประเทศไทย
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
PTTGC เป็นบริษัทปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ปตท. และเป็นตัวจักรสำคัญในการขยายธุรกิจปิโตรเคมีของ ปตท. โดยเห็นได้จากการที่ ปตท. ได้โอนธุรกิจปิโตรเคมีให้กับ PTTGC ในปี 2560 สถานะเครดิตโดยลำพังของ PTTGC ที่ ?aa-(tha)? สะท้อนถึงขนาดธุรกิจและการผลิตปิโตรเคมีที่ใหญ่ของบริษัท รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เนื่องจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี
สถานะทางธุรกิจของ PTTGC แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิต และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งดังกล่าว
PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการผลิตปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) นอกจากนี้ PTTGC ยังมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่า TOP
PTTGC มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่กว่าและมีการกระจายตัวของธุรกิจปิโตรเคมีที่มากกว่าเมื่อเทียบกับ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A-(tha); แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ) นอกจากนี้บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งกว่าและมีอัตราส่วนกำไรที่สูงกว่ามาก
สมมุติฐานที่สำคัญ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2565, 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2566,60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2567 และ 53 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2568 และหลังจากนั้นโดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ PTTGC;
- กำไรของธุรกิจโอเลฟินส์ ปรับตัวลดลงในปี 2565 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามากดดันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบ
- ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2565 และ 2566 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในภาคการขนส่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การขยายเทอมการชำระเงินเพื่อซื้อน้ำมันดิบกับ ปตท. จาก 30 วันเป็น 90 วันในปี 2565 และหลังจากนั้น
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนรวมจำนวน 4 หมื่นล้านบาท ในปี 2565-2566
- จ่ายเงินปันผลร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก: - แนวโน้มเครดิตอาจถูกปรับเป็นมีเสถียรภาพ หากอัตราส่วน FFO Net Leverage ลดลงไปอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าภายในปี 2566 อย่างต่อเนื่อง
- ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท กับ ปตท. ที่เพิ่มสูงขึ้น
ปัจจัยลบ: - อันดับเครดิตอาจถูกปรับลด หากปัจจัยบวกข้างต้นไม่เกิดขึ้น
- ระดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ กับ ปตท. ที่ลดน้อยลง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: PTTGC มีหนี้ทั้งหมด จำนวน 2.6 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 โดยหนี้จำนวน 4 หมื่นล้านบาทจะถึงกำหนดชำระในปี 2565 สภาพคล่องของ PTTGC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดจำนวน 7.4 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 นอกจากนี้ฟิทช์คาดว่า PTTGC จะมีกระแสเงินสดสุทธิประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ต่อปี ในปี 2564 และ 2565