นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) กล่าวว่า ในไตรมาส 1/65 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 13,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 10,773 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,403 ล้านบาท เท่ากับ 23.3%
แนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัย ทั้งสินค้าแนวราบและแนวสูงในปีนี้พบการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/65 สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงดีมานด์ ที่เกิดขึ้นจริงในตลาดวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมก็เริ่มส่งสัญญาณบวกให้เห็น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่
โดยที่การกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมในวันนี้เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่จริง อย่าง 4 คอนโดพร้อมอยู่ ได้แก่ 1. LIFE อโศก-ไฮป์ 2. LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ 3. LIFE อโศก-พระราม 9 และ 4. Aspire เอราวัณ ไพร์ม ถือเป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้ และยังคงมีการขาย เพื่อโอนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในครึ่งปีหลังที่บริษัทเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE สาทร เซียร์ร่า และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่ารวม 9.6 พันล้านบาท
สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 2/65 เชื่อว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยบวกทั้งในเรื่องความกังวลของลูกค้าต่อสถานการณ์โรคระบาดที่ลดลง ความสามารถในการรับมือที่ดีขึ้น ตลอดจนการประกาศเปิดประเทศที่มีผลต่อการขับเคลื่อนในหลายภาคอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนที่สุดแห่งปี กับการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากที่สุด แบบบ้านใหม่ที่เยอะที่สุด และการขยายไปเซกเมนต์ใหม่ๆแบบไม่สิ้นสุด ซึ่งจะได้เห็นโครงการที่เป็นไฮไลต์สำคัญๆในช่วงครึ่งปีหลังอย่างแน่นอน
โดยไตรมาส 2/65 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่า 1.62 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการ มูลค่า 3.4 พันล้านบาท ทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 7.24 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 5.6 พันล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 เม.ย. 65 บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้นมูลค่า 1.61 ฟมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบมูลค่า 1.35 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียมมูลค่า 2.62 พันล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 3.13 หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมได้ตามเป้าหมาย 4.7 หมื่นล้านบาท