นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง ตามการทยอยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยทำให้มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 68
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 65 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณ 25-35% จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนที่จะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/65 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/64 และไตรมาสที่ 4/64 ราว 160.4% และ 473.4% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนิเซีย
ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 516.7 ล้านบาท เติบโต 5.7% จากไตรมาสที่ 1/64 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ "Nam San 3A" และ "Nam San 3B" เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่ตกมากขึ้นจากพายุฤดูร้อนในระหว่างไตรมาส รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.64 และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น