นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพิจารณาประมาณการณ์ผลประกอบการปี 65 หลังสิ้นสุดไตรมาส 2/65 จากที่เคยว่าจะเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการไตรมาส 1/65 ยอดขายเติบโตได้กว่า 20% ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ สาเหตุจากมีงานส่วนหนึ่งจากงานในมือ (Backlog) ที่เลื่อนมาจากปี 64 และการส่งออกสินค้าไปสหรัฐมากกว่าคาด รวมทั้งได้รับผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า จึงมองว่าแนวโน้มครึ่งปีแรกน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีในไตรมาส 2/65 ยังคงต้องรอดูปัจจัยภายนอกของประเทศที่เข้ามากระทบอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ภาพรวมในประเทศแม้ได้รับปัจจัยกระทบจากสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจส่งผลทางลบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศ อีกทั้งมีแรงกดดันจากต้นทุนสินค้า วัตถุดิบนำเข้า และค่าระวางสินค้าสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนค่าลง ในขณะที่ยอดขายส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากงานโครงการที่ได้สรุปราคามาก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังจากนี้ทิศทางอุตสาหกรรมและการประมูลงานในประเทศ มองว่าจะเริ่มมีปริมาณที่สูงขึ้นเพื่อเข้ามาเติม Backlog ในอนาคต
ส่วนงานในต่างประเทศ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐอเมริกาลูกค้าหลัก ส่อแววมีความเสี่ยงที่ผลกระทบทางลบจากสงครามยูเครนและสภาพเงินเฟ้อในประเทศที่สูงขึ้นอาจจะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือ ภาวะเงินฝืด (stagflation) ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้จากการขายและให้บริการ 804 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 249 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45% เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการของงานโครงการเพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33% และงานขายส่ง/ขายปลีกเพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% ส่วนงานขายต่างประเทศนั้นเพิ่มขึ้น 137 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 121%
การเพิ่มขึ้นของรายได้จากงานขายโครงการ และงานขายส่ง/ขายปลีก เป็นผลจากบริษัทห้างร้านต่างๆเริ่มปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ส่งผลให้มีการขยายหรือปรับปรุงธุรกิจเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งไตรมาส 1ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากงานโครงการหลายงานที่ได้เลื่อนการส่งมอบงานจากปีที่แล้วมาเป็นไตรมาสนี้ ส่วนการเพิ่มขึ้นของงานขายต่างประเทศ เป็นผลจากรายได้จากการขายสินค้าไปให้ลูกค้าปลายทางที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 154 ล้านบาท
บริษัทมีผลกำไร 9.6 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 2.8 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 57.4 ล้านบาท จากรายได้จากการขายและให้บริการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 45% แต่อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวลดลงจาก 28.6% เป็น 24.8% สาเหตุใหญ่มาจากต้นทุนสินค้าปรับเพิ่มขึ้น เพราะวัตถุดิบและค่าระวางสินค้าที่สูงขึ้น ขณะที่บริษัทไม่สามารถปรับราคาขายของงานโครงการส่วนใหญ่ได้ เพราะเป็นราคาที่ได้ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย รวมทั้งในไตรมาสนี้บริษัทได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในสัดส่วนที่ลดลง
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 45.7 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงาน และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการนำเอาระบบ ERP ของ SAP มาใช้ รวมถึงการตั้งสำรองหนี้สูญสำหรับลูกหนี้การค้าที่ชำระช้ากว่าปกติและอาจมีความเสี่ยงในการชำระหนี้ รวมทั้งมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาท เป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นเพราะยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้น