นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวม 8,072 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,328 ล้านบาท ลดลง 15% และ 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ แต่หากพิจารณาจากผลการดำเนินงานหลักที่ไม่รวมรายการที่มิได้เกิดขึ้นเป็นประจำ และผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงิน บริษัทมีรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้น 23% และ 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ฟื้นตัวดีขึ้น
ไตรมาส 1/65 สถานการณ์ต่างๆ เริ่มปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้น อาทิ การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง สอดคล้องกับรายได้และกำไรจากการดำเนินธุรกิจที่ฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่ให้อยู่ในระดับสูงได้อยู่ที่เฉลี่ย 91% ประกอบกับภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 และมีโครงการสนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เราเที่ยวด้วยกันครั้งที่ 4 และโครงการ test & go ที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มธุรกิจในอนาคตยังคงมีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอลง ภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนแผนให้สอดรับกับทุกสถานการณ์ บริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่าย และโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในไตรมาสที่ 1/65 บริษัทประกาศเดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งภายใต้การนำของ CEO หญิงคนแรก คือ นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ ชูกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน ทั้งการ Synergy ผนึกกำลังทุกฝ่ายทั้ง คู่ค้า ชุมชน และธุรกิจมิกซ์ยูสภายใต้การบริหารของบริษัทฯ เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร โดยมีศูนย์การค้าเป็นแกนหลัก
พร้อมลงทุน 450 ล้านบาทในปีนี้ตั้งทีม Business & Digital Transformation เพื่อทรานฟอร์มธุรกิจสู่การเป็น Omnichannel Platform เชื่อมโยงทุกธุรกิจใน ecosystem เข้าด้วยกัน แบบ B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต นอกจากนี้ ยังสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต
ในทุกโครงการใหม่ของ CPN จะต้องใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ Green & Energy และ Health & Wellnessเพื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนของทุกคน รวมทั้งมุ่งสู่องค์กรแห่งการสร้าง "โอกาส" พัฒนาคน พัฒนาเมืองและประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทยเทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน
ปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 36 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.9 ล้านตารางเมตร (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 20 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ภายใต้กิจการร่วมค้า 1 แห่ง และคอมมูนิตี้ มอลล์ 18 แห่ง
นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 32 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 22 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ "นีรติ" ที่เชียงราย บางนาและดอนเมือง
และมีโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาได้แก่ เซ็นทรัล จันทบุรี มีกำหนดเปิดให้บริการ 26 พ.ค. 65, โครงการใหม่ "เซ็นทรัล เวสต์วิลล์" (Central WestVille) เจาะทำเลราชพฤกษ์เชื่อมตรงสู่ Bangkok CBD กำหนดเปิด ไตรมาส 4/66 , โครงการ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" big project ที่ร่วมพัฒนากับ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 66-67
สำหรับทิศทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (ปี 65-69) บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนและแผนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งที่ประกาศไปแล้ว และยังไม่ได้ประกาศ ซึ่งมีทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
บริษัทยังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน