นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าซื้อกิจการ (M&A) จำนวน 2 ดีล บริษัทด้าน IT Outsourcing ที่มีความชำนาญด้าน Digital Transformation, Cyber Security และ Software House ที่มีศักยภาพ อีกบริษัท จะเน้นในด้านการทำ Social Data Analytic ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ Due Diligence โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 2/2565
ส่วนทางด้านความคืบหน้า จากที่บริษัทจะทำ Swap Share เข้าถือหุ้น 51% ในบริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด (BS) ผู้ให้บริการวางระบบ (System Integrator) ซึ่ง BS เป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดยบริษัท เวทเธอเรีย อี จำกัด ได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 และคาดการณ์ว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 500-700 ล้านบาท/ปี จากการรวมงบของ BS เข้ามา และมีแผนผลักดันให้บริษัทดังกล่าวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเร็วสุดในปี 66
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 593 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 511 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท
ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทเติบโตในทุกธุรกิจ ความต้องการลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการที่ประเทศไทยพัฒนาไปสู่ยุคการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ของประเทศ และเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท ทำให้สามารถผลักดันยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานได้เพิ่มมากขึ้น
อีกทั้งบริษัทยังสามารถรักษาฐานลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และต่อยอดความสำเร็จในการให้ขยายบริการเพิ่มเติม อาทิ งาน Drone & Anti-Drone งาน Smart CCTV และอื่น ๆ โดยอาศัยจุดแข็งจากโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพของการให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่น ๆ ในตลาด จึงทำให้บริษัทฯ สร้างรายได้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
สำหรับรายได้จากการให้บริการโครงข่ายในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 337 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า 12% ที่มีรายได้ 300 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่าย เติบโตสูงขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 28% หรืออยู่ที่ 225 ล้านบาท โดยบริษัทจะยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัท และลูกค้ามีความมั่นใจในเสถียรภาพของโครงข่ายและบริการของบริษัทอยู่แล้ว
พร้อมต่อยอดความสำเร็จในกลยุทธ์ New S-Curve ที่เป็นการให้บริการด้าน งาน Big Data, Security และ IoT รวมถึงการขยายธุรกิจจากการเข้าถือหุ้น 51% ในบริษัท บลู โซลูชั่น จำกัด ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายเพิ่มขึ้นถึง 55 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งปีเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 2% อันเนื่องมาจากฐานลูกค้าที่ใช้งานปี 64 มีมากถึง 95% ทำให้รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ในไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 21 ล้านบาท และในแต่ละไตรมาสหลังจากนี้จะมีแนวโน้มของรายได้ที่มั่นคง
"ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทั้งรายได้และกำไรที่นิวไฮต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/65 มีการเซ็นงานเข้ามา 2-3 งาน ได้แก่ งานติดตั้งสายไฟเบอร์ออพติคให้กับหน่วยงานค่ายโทรคมนาคม งานติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่สถานีฐานให้กับโทรคมนาคม งานเชื่อมต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ให้กับธนาคารแห่งหนึ่ง โดยกำไรจากการดำเนินงานโต 19% อยู่ที่ 55 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ 46 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ทุกประเภท นอกจากนี้ อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 10% เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดีขึ้น" นายณัฐนัย กล่าว
ด้วยโมเดลธุรกิจของบริษัทเอง ที่มีฐานรายได้และฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้รายได้ของบริษัทค่อนข้างมั่นคงและสามารถต่อยอดได้ อีกส่วนหนึ่งคือการใช้งานการบริการต่างๆโดยบริษัทมีปริมาณลูกค้าเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้บริษัทมีสัญญาใหม่ๆ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้บริษัทเติบโตอีกขั้น รวมไปถึงเรื่องงานติดตั้งด้านโทรคมนาคมด้วยค่ายมือถือหลายๆค่ายมีการขยายโครงข่าย ซึ่ง ITEL ก็ได้เข้าไปรับเหมาและก็เป็นผู้ดำเนินงานก็จะนับเป็นบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโต และส่วนสุดท้ายดาต้าเซนเตอร์ ถือเป็นส่วนผลักดันของการเติบโตเช่นกัน สนับสนุนแผนการดำเนินธุรกิจปี 2565 ของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 3,200 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% ปัจจุบันมีสัญญาในมือ (Contract on Hand) รวมมูลค่ากว่า 3,563 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 1,909 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/65 บริษัทสามารถปิดสัญญาใหม่ ๆ และต่อสัญญาที่หมดอายุมาได้ ทั้งสิ้น 611 ล้านบาท ทั้งงานบริการโครงข่ายโทรคมนาคม (Data Service) งานบริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) และงานติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม (Installation)
ในปีนี้บริษัทคาดหวังจะได้รับงานใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท โดยมีโครงการในอนาคต เช่น โครงการ Course Online มูลค่า 305 ล้านบาท โครงการ USO-TOT มูลค่า 703 ล้านบาท รวมไปถึงงานติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม และงานให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพื่อให้เข้ามาใช้พื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์อีกจำนวน 0.6 เมกะวัตต์ และเดินหน้าขยายขนาดดาต้า เซ็นเตอร์เป็น 2.4 เมกะวัตต์ ด้วยงบลงทุนราว 200 ล้านบาท ในขณะเดียวกันบริษัทก็พร้อมที่จะขยายขนาดเป็น 6 เมกะวัตต์ภายใน 2 ปีข้างหน้า ใช้งบลงทุนราว 300-400 ล้านบาท