นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BPCG) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1/64 และไตรมาส 4/64 ที่ 160.4% และ 473.4% ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนิเซีย
ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 516.7 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 1/64 ที่ 5.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ "Nam San 3A" และ "Nam San 3B" เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่ตกมากขึ้นจากพายุฤดูร้อนในระหว่างไตรมาส รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) กำลังการผลิตตามสัญญา 20 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.64 และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น
"ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ยังคงเป็นไปตามที่บริษัทฯได้ประมาณการไว้ และยังรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้เป็นอย่างดี และบริษัทฯ คาดว่าในไตรมาส 2/65 น่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะได้มีการทยอยเปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 45 เมกะวัตต์ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ จะช่วยทำให้มีปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นด้วย
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตทั้งหมด 1,108 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เรียบร้อยแล้ว 345 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างพัฒนา 764 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดภายในปี 2568" นายนิวัติกล่าว
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 65 บริษัทฯได้ตั้งเป้ากำไรก่อนจะหักภาษีดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะเติบโตประมาณ 25-35% จากปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีการรับรู้ EBITDA จากพอร์ตการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันปีนี้มีแผนจะลงทุนซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเติม คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท