นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (ALL) เปิดเผยว่า ในปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประคองธุรกิจให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว ALL จึงได้ประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด "All New Era" ออลล์ อินสไปร์ ยุคใหม่ ที่ไม่หยุดแค่อสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป
บริษัทได้มองหาโอกาสใหม่ๆเพื่อการพลิกฟื้นธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว นำพาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดด รองรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมตั้งเป้า Turn around เตรียมก้าวสู่ "โฮลดิ้ง คอมพานี" (Holding Company) เพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้
โดยผ่าน 3 กลยุทธ์ทางธุรกิจ ดังนี้
1. ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ Assets Management (AMC) รูปแบบการดำเนินงานคือ การจัดตั้งบริษัทใหม่พร้อมจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงการควบรวมกิจการและพร้อมเข้าประมูลกับสถาบันการเงิน
2. ธุรกิจบริหารหนี้สิน Debt Management เป็นการเข้าซื้อหนี้เสียมาบริหาร ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต หรือหนี้อื่นๆ และมีแผนร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
3. ธุรกิจคาร์บอนเครดิต Carbon Credits ได้มีการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจ One Stop Service ซื้อ ขาย พัฒนา คาร์บอนเครดิต ผ่านบล็อกเชน รายแรกของประเทศไทย
สำหรับสัดส่วนธุรกิจในปี 65 ของบริษัท แบ่งเป็น ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ มีสัดส่วน 30% ธุรกิจบริหารหนี้สิน มีสัดส่วน 30% ธุรกิจคาร์บอนเครดิต มีสัดส่วน 30% และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีสัดส่วน 10%
"การปรับโครงสร้างธุรกิจจะทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และการตั้งเป้าเทิร์นอะราวด์ ให้ธุรกิจกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงสามารถปรับตัวและรับมือปัจจัยภายนอกได้เหมาะสมกับแต่ละประเภทธุรกิจมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมั่นใจว่าทั้ง 3 ธุรกิจ จะสามารถสร้างรายได้และกำไรในอัตราผลตอบแทนที่สูงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเสริมสร้างศักยภาพในการเติบโตของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต" นายธนากร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจบริหารหนี้สิน และ ธุรกิจคาร์บอนเครดิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หวังสร้างความเชื่อมั่นและผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และตั้งเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ ALL ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ALL กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนเพื่อแตกไลน์ลงทุนธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจไว้ที่ 1.4 พันล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุนให้กับบุคลลในวงจำกัด (PP) ราว 840 ล้นนบาท ซึ่งเพิ่มทุนให้กับกองทุน AO Fund เป็นกองทุนจากต่างประเทศที่เน้นลงทุนในบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็ก และส่วนที่เหลืออีก 650 ล้านบาทจะมาจากการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO)
ขณะที่การลงทุนในธุรกิจการลงทุนธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ และธุรกิจบริหารและติดตามหนี้ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการร่วมทุนกับพันธมิตรในช่วงไตรมาส 3/65 และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที ซึ่งบริษัทตั้งเป้าในปีแรกของการเริ่มธุรกิจจะซื้อหนี้เข้ามาบริหารในพอร์ตราว 500-1,000 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนราว 100 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจคาร์บอนเครดิต ในการเป็นแพลตฟอร์มตัวกลางซื้อ-ขายคาร์บอนผ่านบล็อกเชน อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรระดับโลก ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเคด์ตจากหน่วยงานของสหรัฐฯและยุโรป และกำลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/65 หรือต้นปี 66 ซึ่งจะมีรายได้จากธุรก์จคาร์บอนเครดิตเริ่มเข้ามาในช่วงปี 66 เสริม
*รายได้จาก AMC-บริหารหนี้เข้า H2/65
นายธนากร กล่าววา แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 65 ตั้งเป้ารายได้ที่ 4-4.5 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.29 พันล้านบาท โดยที่ในปีนี้จะยังมีรายได้มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาในสัดส่วนกว่า 30% จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ราว 8 พันล้านบาท ซึ่งยังมีการทยอยโอนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์และธุรกิจบริหารและติดตามหนี้เข้ามาเสริม จึงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ผลงานของบริษัทในปี 65 พลิกกลับมีกำไร จากปีก่อนขาดทุน 347 ล้านบาท
ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทจะชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ แม้ว่าจะยังมีที่ดินรองรับในมือ 5-6 แปลง แต่จะนำมาพัฒนาเมื่อจังหวะของตลาดและศักยภาพของที่ดินมีความเหมาะสม หรือหากมีโอกาสที่ดีกว่าก็จะพิจารณาขายออกไป เพี่อเน้นไปที่การดำเนินงานของ 3 ธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การชะลอการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่นั้นและหันมาโฟกัสธุรกิจใหม่ เพราะภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความผันผวนค่อนข้างมาก จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ทำให้การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความท้าทายสูง และเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ทำให้บริษัทหันมามองโอกาสในธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีความคล่องตัวในการปรับธุรกิจสูง และมีโอกาสในตลาดแทน
"เราอยากให้บริษัทของเราเป็น Asset Light ที่ตัวเบามากขึ้น มีความคล่องตัว ปรับตัวได้เร็ว ทำให้หันมาเน้น 3 ธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช้เงินลงทุนมาก สร้างรายได้เร็ว และมาร์จิ้นดีกว่าธุรกิจอสังหาฯ ที่รายได้กว่าจะเข้ามาก็มี Cycle มีความผันผวนตามเศรษฐกิจ และการแข่งขันรุนแรง ซึ่งอาจจะไม่สร้าง Growth trend ให้กับบริษัทอีกต่อไป ต่างจาก 3 ธุรกิจใหม่ที่มีเสน่ห์ในการนำพาบริษัทเติบโตไปได้มากกว่า" นายธนากร กล่าว
ด้านสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 2 เท่า แต่คาดว่าหลังจากการเพิ่มทุนแล้ว D/E ของบริษัทจะลดลง และทำให้บริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมเงินได้เพิ่ม ซึ่งเป็นแผนการรองรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ที่ยังมีวงเงินที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ได้อีก 1.7 พันล้านบาท หากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินในการลงทุนเพิ่มเติม