นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปี 65 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปี 64 แน่นอน และคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ หลังผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19 ลดลง ขณะที่สัดส่วนรายได้จากพอร์ตการรับประกันของบริษัท แบ่งเป็น อุบัติเหตุและสุขภาพ 50% อสังหาริมทรัพย์ 10% กลุ่มรถยนต์ 31% ขนส่งสินค้าต่างประเทศ 2% และประกันภัยประเภทอื่น 8%
ภาพรวมแนวโน้มธุรกิจประกันภัยในปี 65 คาดว่าจะเติบโต 5-10% สะท้อนจากเศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว รวมถึงผู้บริโภคตระหนักถึงการทำประกันภัยด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้การประกันสุขภาพ ประกันภัยอุบัติเหตุและการเดินทาง ประกันภัยทรัพย์สิน วิศวกรรม รวมถึงภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้าต่างประเทศ คาดว่าจะเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประกันอุบัติเหตุและการเดินทาง คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมา หลังจากไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศ และภาคการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ทั้งนี้ ทิศทางแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/65 บริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/65 เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยโควิด แบบ เจอ-จ่าย-จบ หมดอายุกว่า 90% ตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค.65 ที่ผ่านมาแล้ว ประกอบกับบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ยังเติบโตได้ดี ตามการเติบโตของธุรกิจ Non-Conventional หรืองานบริการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับพันธมิตร ทั้งธุรกิจเทรนนิ่ง และบริการใหม่ด้วยเทคโนโลยี AI ที่เริ่มมีรายได้เข้ามาสนับสนุน
สำหรับแผนดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นนำบริษัท อีเอ็มซีเอส ไทย จำกัด (EMCS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ช่วงไตรมาส 3/65 ตามแผนที่วางไว้
โดยภายหลังการเข้าตลาดของกลุ่มบริษัทย่อย EMCS ทาง THRE จะได้รับประโยชน์จาก 1) ผลตอบแทนการขายหุ้น IPO 2) ลดการพึ่งพิงในการสนับสนุนบริษัทย่อยในการขยายธุรกิจ และ 3)มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นหลังเข้าตลาด ทั้งนี้ EMCS มีจุดแข็งทั้งด้านเทคโนโลยี และ DATA จากจำนวนลูกค้าที่บริษัททำเคลมปีละไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านเคลม ด้านเครือข่ายที่มีอู่ให้บริการกว่า 4,000 แห่ง และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้การขยายธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 1,076.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,109.82 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 184 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท
ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิดมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้นปี 65 จนถึงปัจจุบัน ทำให้บริษัทมีผลขาดทุนจากค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประเภท เจอ-จ่าย-จบ