นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทมุ่งมั่นการ Turnaround กลับมาหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิดไปแล้ว โดยขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจ ลูกค้าต่างชาติ และความมั่นใจของลูกค้าในประเทศเริ่มฟื้นกลับมาแล้ว
รวมถึงการปรับการดำเนินธุรกิจของ RML ที่เน้นการพัฒนาโครงการในกลุ่มที่ลูกค้า Luxury การทำโครงการที่รับรู้รายได้เข้ามาได้เร็วและใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนในอดีต สร้างสมดุลและกระจายรายได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์และรายได้ประจำมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นที่ผ่านมาเราก็นำออกไปแล้ว ทำให้เรามีความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทตั้งแต่ปี 65 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นปีที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงอย่างชัดเจนขึ้น และมีการเปิดเมืองและเปิดประเทศกลับมา ทำให้บริษัทมองถึงภาพการเติบโตในระยะยาวช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ผ่านการปรับให้ธุรกิจมีความสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านของรายได้ที่จะเน้นการพัฒนาโครงการที่สามารถสร้างรายได้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว หรือเป็นโครงการที่ใช้ระยะเวลาในการพัฒนาไม่นานมาก รวมทั้งการสร้างรายได้ประจำเข้ามาเสริมเพื่อลดความผันผวนจากรายได้ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย และจะเน้นการพัฒนาโครงที่ใช้เงินในการลงทุนที่ไม่สูงมากและสามารถนำที่ดินมาพัฒนาได้ทันที จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างยั่งยืน และฟื้นกลับมาอย่างแข็งแกร่ง
การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในระยะต่อจากนี้ RML ยังคงเน้นไปที่โครงการระดับ Luxury เป็นหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก แต่จะปรับรูปแบบการพัฒนาที่จะหันมาเป็น Branded Residence มากขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในและต่างประเทศต่างให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่มีการบริการที่ครบครันและตอบโจทย์ความต้องการในด้านต่าง ๆ เข้ามาเสริม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการที่พัฒนาและสร้างความภาคภูมิใจในการอยู่อาศัยของลุกค้าที่ซื้อโครงการ Luxury
นอกจากนั้น การพัฒนาโครงการของ RML ในปัจจุบันหันมาจับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีอายุน้อยลงในช่วง 26-35 ปี และ 36-45 ปี ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% และ 30% ตามลำดับ จากเดิมที่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จากโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานหรือการลงทุนที่เข้ามา ทำให้เป็นกลุ่มที่เริ่มมองหาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยระดับบนที่ตอบโจทย์ในเรื่องไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยมากขึ้น รวมถึงจะเน้นพัฒนาขนาดห้องที่ใหญ่ตั้งแต่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป ที่เป็นขนาดพื้นที่ที่กลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการ Luxury มีความต้องการ
ส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบระดับ Luxury ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางหนึ่งที่บริษัทจะรุกการเปิดโครงการเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีความต้องการสูงในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นโครงการที่เข้ามาสร้างสมดุลให้กับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย จากปัจจุบันโครงการที่บริษัทพัฒนาส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม ขณะที่โครงการแนวราบจะเป็นโครงการที่สามารถทำให้บริษัทรับรู้รายได้ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ตั้งเป้าใน 5-10 ปี จะมีสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบเข้ามาราว 20-30%
ในปี 65 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 2-3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการ Rosewood Residence Kamala ในจังหวัดภูเก็ต มูลค่า 7.8 พันล้านบาท เป็น Branded Residence แห่งแรกของบริษัทในรูปแบบวิลล่า ราคาขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/หลัง เปิดขายในช่วงครึ่งปีหลัง
และจะมีคอนโดมิเนียม Branded Residence ในกรุงเทพฯ เป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติ รวมถึงจะมีการเปิดโครงการแนวราบใหม่ในกรุงเทพฯอีก 1 โครงการที่บริษัทพัฒนาเอง มูลค่ารวมทั้ง 2 โครงการ ไม่ต่ำกว่า 5.5 พันล้านบาท จะเปิดขายในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมในปีนี้ไว้ที่ 7.2 พันล้านบาท
ด้านรายได้ของบริษัทในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 2.2 พันล้านบาท ยังคงมาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมเข้ามามาต่อเนื่องจากโครงการพร้อมอยู่ที่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 71 ล้านบาท ลดลงไปจากสิ้นปี 63 ที่ 1.89 พันล้านบาท และการโอนโครงการใหม่ที่สร้างเสร็จในปีนี้ คือ The Estelle Phrom Phong มูลค่า 5.2 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอนในช่วงไตรมาส 3/65 เป็นปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีความโดดเด่น และเริ่มเห็นการพลิกฟื้นกลับมาอย่างชัดเจน
ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้กว่า 5 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็น Backlog จากโครงการคอนโดมิเนียม The Estelle Phrom Phong ที่จะโอนในปีนี้ และ Tait Sathorn 12 ที่เตรียมโอนในปี 66
ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกับสร้างรายได้ประจำของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเปิดโรงแรมระดับ Budget คือ lyf ในโครงการ The River เจริญนคร ซึ่งมีการปรับรูปแบบโรงแรมจากเดิมที่เป็น Kitch Hotel หลังจากบริษัทมีพันธมิตรเครือ Ascott เข้ามาบริหารโครงการ และยังมีโครงการอาคารสำนักงานเกรด A ที่เพลินจิต คือ โครงการ ONE CITY CENTRE มูลค่า 8 พันล้านบาท พื้นที่เช่า 61,000 ตารางเมตร จะเปิดให้บริการในปี 66 ปัจจุบันมีผู้เช่าที่ตัดสินใจเช่าแน่นอนแล้วราว 5,000 ตารางเมตร และนยังผู้สนใจเข้ามาเช่าต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจรรวมพื้นที่กว่า 36,000 ตารางเมตร อัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ย 1,300 บาท/ตารางเมตร
นายกรณ์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติเพื่อเข้ามาร่วมลงทุนพัฒนา Data Center และมองหาพื้นที่ก่อสร้างในประเทศไทย คาดว่าจะมีความชัดเจนช่วงไตรมาส 4/65 และน่าจะก่อสร้างในช่วงปลายปี 65 เริ่มรับรู้รายได้ในปี 66 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ประจำเข้ามาเพิ่มจากทั้งโครงการอาคารสำนักงาน ONE CITY CENTRE และโครงการ Data Center เข้ามาเสริม จึงคาดสัดส่วนรายได้ประจำในปี 68 จะเป็นไปตามเป้าหมาย 20% จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5% เป็นอีกปัจจัยหนุนในการฟื้นตัวกลับมาของบริษัท
ส่วนงบลงทุนในปี 65 ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในการก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากการออกหุ้นกู้ในช่วงที่ผ่านมา และเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน