บมจ.จีสตีล(GSTEEL) คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 50 เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นจะสูงขึ้นจากเงินบาทที่แข็งค่าทำให้บริษัทมีต้นทุนนำเข้าถูกลงและมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่สามารถปรับราคาขายในประเทศขึ้นได้ รวมทั้งรายได้ในปีนี้ทั้ง GSTEEL และ NSM น่าจะเติบโตได้ 20-30% มาที่บริษัทละ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่ง GSTEEL คาดว่าจะรับรู้กำไรจาก NSM ได้ตั้งแต่ Q2/51 และจะแปลงหนี้เป็นทุนใน NSM เพื่อเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 49.5% ภายในเม.ย.นี้
"ปีนี้ในงบรวมเราจะมีกำไรจาก NSM เข้ามารวมด้วย ก็จะทำให้กำไรของเรามากกว่าปีที่แล้ว" นายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GSTEEL กล่าว
บริษัทคาดว่าในปีนี้จะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 9.5% โดยขณะนี้ส่วนต่าง(สเปรด)ระหว่างเศษเหล็กนำเข้ากับราคาขายเหล็กอยู่ที่ประมาณ 300 เหรียญ/ตัน สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีสเปรดอยู่ที่ 200 เหรียญ/ตัน เนื่องจากราคาขายปรับขึ้นไปที่ 850 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 600 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาเศษเหล็กนำเข้าที่ราคา 580-600 เหรียญ/ตัน ปรับขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ราว 400 เหรียญ/ตัน
อย่างไรก็ดี ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากความต้องการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะจากอินเดีย รัสเซีย ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการเหล็กในประเทศปีนี้เพิ่มขึ้น 6-8% หลังจากรัฐบาลมีเสถียรภาพ ความต้องการจึงสูงขึ้น โดยไม่รวมโครงการรถไฟฟ้า
ทั้งนี้ บริษัทนำเข้าเศษเหล็กในสัดส่วน 70-80% และ มาจากในประเทศ 20-30%
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้จะเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท จากปีก่อน 2.3 หมื่นล้านบาท และในปี 52 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 25% จากปีนี้ และปี 53 รายได้จะเพิ่มเท่าตัวเป็น 6 หมื่นล้านบาท เพราะการขยายกำลังการผลิตได้เต็มที่ 3.4 ล้านตัน/ปี โดยปัจจุบันผลิตได้ทื่ 1.2 ล้านตัน/ปี โดยบริษัทเน้นขายในประเทศ 90%
ขณะที่ NSM ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นตามเช่นกันจากการเพิ่มกำลังการผลิตที่ทำได้เต็มที่ 3 ล้านตัน/ปีในอนาคต โดยปัจจุบันผลิตได้ 1.2-1.3 ล้านตัน/ปี
ภายหลังจากที่บริษัทได้แปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการของ NSM แล้ว GSEEL ก็จะเข้าถือหุ้น NSM เพิ่มเป็น 49.5% จากปัจจุบัน 33% และทำให้บริษัทสามารถนำกำไรจาก NSM มารวมในงบรวมได้ โดยคาดว่าจะเริ่มบันทึกกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/51
"เมื่อเรารวมกับ NSM ก็ยิ่งทำให้เป็นบริษัทเหล็กรีดร้อนแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน" นายสมศักดิ์ กล่าว
ขณะเดียวกันในเดือน พ.ย. 51 บริษัทจะทยอยชำระคืนหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่ 170 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อตอนที่กู้เงิน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 40.50 บาทต่อดอลลาร์ จึงมองเป็นโอกาสที่ดีในการคืนหนี้ เพราะขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่า โดยเช้านี้ เงินบาทเปิดตลาดที่ 31.40/42 บาทต่อดอลลาร์
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--