นางสุธารทิพย์ พิสิฐบัณฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล (HENG) ชี้แจงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 กำไรสุทธิ 66.56 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60.91 ล้านบาทว่า บริษัทยังรักษาอัตราการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อเพื่อสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ลูกค้าทุกพื้นที่ ทำให้สามารถ ขยายพอร์ตสินเชื่อรวมเพิ่มเป็น 9.8 พันล้านบาท หรือขยายตัว 7% เทียบ ณ สิ้นปี 64
บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยมาจากพอร์ตกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันยังขยายตัวได้ดี 7% โดยผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อสำหรับลูกค้ารายย่อยที่ต้องการซื้อรถมือสองเติบโต 5% คิดเป็น 5.76 พันล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเติบโตถึง 12% หรือคิดเป็น 3.28 พันล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อจำนำทะเบียนรถให้เพิ่มขึ้น
และความสำเร็จดังกล่าวมาจากขีดความสามารถการแข่งขันในด้านการให้บริการสินเชื่อของบริษัทเพิ่มขึ้น หลังบริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายสาขาการให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 88 สาขา ส่งผลให้ ณ ไตรมาส 1/65 มีสาขารวม 617 แห่ง และมีเครือข่ายพันธมิตรผู้ประกอบการเต็นท์รถมือสองได้ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในช่วงต้นปีที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 และปัจจัยเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงทางธุรกิจ บริษัทจึงตั้งสำรองลูกหนี้สินเชื่อส่วนเพิ่ม (Management Overlay) เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเครดิตที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้มีกำไรสุทธิทำได้ 67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 65 นั้น มั่นใจว่ารายได้รวมจะขยายตัวต่อเนื่องหลังพอร์ตสินเชื่อเติบโตตามแผน รวมถึงแผนขยายสาขาใหม่ๆจะครบ 638 สาขา ภายในเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งทำให้ความสามารถในการให้บริการสินเชื่อแก่ลูกค้าครอบคลุมเป็นวงกว้างมากขึ้น และการนำเทคโนโลยีพิสูจน์ยืนยันตัวตน หรือ e-KYC ช่วยพิจารณาสินเชื่อที่เหมาะสม รวดเร็ว ด้วยต้นทุนให้บริการที่ลดลง จะเพิ่มศักยภาพการควบคุมและบริหารจัดการคุณภาพลูกหนี้ได้ดีขึ้น เพื่อรองรับแผนกลยุทธ์การขยายพอร์ตสินเชื่อผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรเพิ่มเติม
ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการจัดเก็บหนี้ให้มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถผ่อนชำระ เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินโดยยืดหนี้หรือลดเงินผ่อนต่องวด จึงมั่นใจว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะปรับตัวลดลงเหลือ 3.1% ตามแผนที่วางไว้
ล่าสุดบริษัทได้จับมือกับ เพาเวอร์บาย ในเครือบมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใหญ่ที่สุด ครบ จบ ในที่เดียว เพิ่มช่องทางในการชำระค่าสินค้าในรูปแบบการผ่อน เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเน้นฐานลูกค้าในต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันลูกค้าที่สนใจสามารถใช้บริการได้ที่ เพาเวอร์บาย 4 สาขา และ โก!เพาเวอร์ โดย เพาเวอร์บาย 7 สาขา รวมทั้งหมด 11 สาขา พร้อมมีแผนที่จะขยายพื้นที่การให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มอีกอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทั่วประเทศ