นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ FTI ได้เปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้นหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเสนอขายในราคาหุ้นละ 2.50 บาท ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2565 ปรากฏว่า กระแสตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม มีนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจเข้ามาจองซื้อเต็มจำนวน สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตได้ต่อเนื่อง และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันมั่นใจว่าหุ้น FTI จะได้รับการตอบรับที่ดีในวันเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค / หมวดธุรกิจของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้
"ความโดดเด่นจากการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศ และในภูมิภาคอาเซียนภายใต้ตราสินค้าของบริษัททั้งหมด 23 แบรนด์ โดยขยายฐานผู้บริโภคครอบคลุมทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว เมียนมา และกัมพูชา ผ่านร้านค้าและผู้จัดจำหน่ายกว่า 600 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าของบริษัทให้ร้านค้าขนาดเล็กหรือขายปลีกให้ผู้บริโภคคนสุดท้าย (End User) ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัท และดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า 25 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นยอดขายและกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องทุกปี และในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จากการขยายตัวแทนจำหน่ายผ่านร้าน Aquatek และร้าน Water Store"นายวิชา กล่าว
นายวิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FTI กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจในฐานะผู้ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำอย่างครบวงจรทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน และให้บริการที่เกี่ยวข้องที่ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยมีผลประกอบการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25-30%
สำหรับเป้าหมายในการระดมทุนใน SET เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต อาทิ ขยายตัวแทนจำหน่าย ภายในปี 65-67 ได้แก่ การขยายร้าน Aquatek จำนวน 50 สาขา ,ขยายร้าน Water Store จำนวน 5 สาขา รวมถึงตกแต่งอาคารจัดแสดงสินค้าและจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ ,ปรับปรุงอาคารคลังสินค้าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์,ขยายกำลังการผลิตประกอบ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มศักยภาพ และผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดีด้านการบริหารงานด้วยความโปร่งใส ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและลูกค้า ตลอดจนสร้างการรับรู้ความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ และบริการมากขึ้น
"มั่นใจว่าธุรกิจของ FTI ในอนาคตจะสามารถเติบโตก้าวกระโดด ตามเทรนด์ของภาพรวมของตลาดเครื่องกรองน้ำทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวเช่นเดียวกับตลาดในประเทศไทย จากรายงานของ IMARC Group บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำ คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเฉลี่ยต่อปีที่ 8.5% ในช่วงปี 63-68 ซึ่งจะทำให้มูลค่าตลาดรวมในปี 2568 คาดว่าจะสูงถึง 59.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นเมื่อเข้าจดทะเบียนใน SET จะทำให้มีศักยภาพมากขึ้นโดยเฉพาะฐานทุนสูงขึ้นสามารถนำมาต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งสนับสนุนฐานะการเงินให้แข็งแกร่งตลอดจนมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ได้รับการยอมรับจากคู่ค้า และสิ่งที่สำคัญสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน"นายวิกร กล่าว