ทั้งนี้ PIMO แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/65 มีกำไรสุทธิ 32.67 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.052 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.94 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.032 บาท
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/65 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปกติแล้วจะเป็นช่วงที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก และยังได้รับผลกระทบจากพนักงานในบริษัทติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 200 คน จากพนักงานทั้งหมด 510 คน ซึ่งเป็นช่วงที่ผลประกอบการจะชอลอตัวลง แต่อย่างไรก็ตามคำสั่งซื้อที่มีจำนวนมาก และ การผลิตที่มีได้อย่างต่อเนื่องจากการบริหารงานที่ดี ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 2/65 จะเติบโตมากกว่าไตรมาส 2/64 อย่างมีนัยสำคัญ
"แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2/65 จะมีผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พนักงานติดเชื้อไปมากกว่า 200 คน แต่อย่างไรก็ตามเรายังสามารถบริหารงานได้ค่อนข้างดี และ ทิศทางค่าขนส่งที่ปรับตัวลดลง ความต้องการของลูกค้ายังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเป็นส่วนช่วยหนุนให้ยอดขายของบริษัททำได้เกินเป้าหมายอย่างแน่นอน"นายวสันต์ กล่าว
นายวสันต์ กล่าวว่า บริษัทยังคงเพิ่มการลงทุนเพื่อที่จะพัฒนาระบบออโตเมชั่นมากขึ้นเพื่อลดปัญหาคอขวด และลดการใช้แรงงานลง คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มกำลังการผลิตมอเตอร์เครื่องปรับอากาศและปั้มน้ำ มอเตอร์กำลัง เป็น 120,000 ลูกต่อเดือน จากปัจจุบันที่ 90,000 ลูกต่อเดือน และเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่มมอเตอร์ปั้มน้ำ (Axial -Flux pool :BLDC) เป็น 280-340 ลุกต่อวัน จากปัจจุบันที่ 140 ลูกต่อวัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทำสอบมอเตอร์ สำหรับรถ EV สำหรับรถจักรยานยนต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปี 65 และเริ่มจำหน่ายให้กับผู้พัฒนารักจัดยานยนต์ไฟฟ้าได้ทันที โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มเห็นการผลิตและส่งมอบได้อย่างชัดเจนในปีนี้ และเป็นส่วนช่วยให้มีการเติบโตในช่วงต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ