นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า แนวโน้มของผลการดำเนินงานในช่วงไตมาส 2/65 คาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาส 1/65 และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่มีปัจจัยหนุนหลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยที่จะมีการทยอยโอนโครงการเข้ามามากขึ้นเป็นจำนวน 7 โครงการ ซึ่งเลื่อนมาจากไตรมาส 1/65 ที่มีปัญหาขาดแคลนแรงงานก่อสร้างทำให้การก่อสร้างชะลอไป
แต่ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ทำให้การก่อสร้างกลับมาเดินหน้า และจะสามารถเริ่มโอนโครงการให้กับลูกค้าที่ซื้อได้ในช่วงไตรมาส 2/65 มากขึ้น ทั้งโครงการบ้านแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดโอนเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาส 1/65 ที่ย่อตัวลงมาที่ 5.67 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายยอดโอนทั้งปีที่ 3.3 พันล้านบาท และปัจจุบันมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 2.02 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนเข้ามาในปีนี้ราว 1.87 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ยอดขายในช่วงไตรมาส 2/65 คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นกลับมาหลังจากไตรมาส 1/65 หดตัวลงมาที่ 5.34 พันล้านบาท เพราะบริษัทมีการเลื่อนเปิดโครงการใหม่ออกไป ส่วนหนึ่งเพื่อรอดูสถานการณ์โควิด-19 และการก่อสร้างที่เผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2/65 จำนวน 9 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 5.9 พันล้านบาท พร้อมกับเดินหน้าทำการตลาดอย่างเข้มข้นในช่วงไตรมาส 2/65 เพื่อสร้างยอดขายเข้ามา โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ที่ถือว่าบริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากการที่มีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มเป็น 86.7% หรือสร้างยอดขายมูลค่า 5.34 พันล้านบาท พร้อมการออกแคมเปญกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง และยังมั่นใจทำยอดขายได้ตามเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 3.1 หมื่นล้านบาท
สำหรับในภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบที่ผุ้ประกอบการในตลาดต่างหันมาเน้นการพัฒนาโครการแนวราบเป็นส่วนใหญ่ จากพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของคนที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาสินค้าที่ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยในปัจจุบันมากขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมแม้ยังชะลอตัว แต่มองว่าอาจจะเห็นการทยอยฟื้นกลับมาในช่วงปี 66-67 หลังจากที่คนเริ่มกลับมาทำงานมากขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองที่ใกล้ที่ทำงาน และลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อ ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมจะเริ่มเห็นการทยอยฟื้นตัว แต่อาจจะไม่สามารถกลับไปคึกคักมากเหมือนในอดีต
ด้านราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นราว 2-3% ในช่วงที่ผ่านมา ยอมรับมีผลกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างบางโครงการ แต่บริษัทยังสามารถรับมือได้ จึงยังไม่มีการปรับราคาขายบ้านขึ้น เนื่องจากมองว่าตลาดปัจจุบันยังเป็นของผู้ซื้อ หากปรับขึ้นราคาขายอาจกระทบกับโอกาสการแข่งขันของบริษัท ซึ่งระดับต้นทุนขณะนี้บริษัทยังสามารถทำอัตรากำไรได้ดีไม่ต่ำกว่า 10% แต่หากในอนาคตต้นทุนยังปรับเพิ่มต่อเนื่อง บริษัทอาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขายในบางโครงการ
ขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาลวิมุตในช่วงไตรมาส 2/65 เชื่อว่าทิศทางการเติบโตของรายได้จะโดดเด่นมากกว่าไตรมาส 1/65 ที่มีรายได้ 244 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการดำเนินงานเต็มรูปแบบของบริการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลและบริการศูนย์ฟื้นฟูดูแลสุขภาพครอบครัวและผู้สูงอายุ (ViMut Wellness Services) ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของบริษัทต่อเนื่อง ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว และจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลวิมุตยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นด้วย
รวมถึงโรงพยาบาลเทพธารินทร์ที่เริ่มเห็นรายได้ฟื้นตัวขึ้นมาในไตรมาส 1/65 แล้วกว่า 100%