นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/65 ยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการใช้สินค้าเกษตรที่ยังคงเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจการเกษตรในปี 65 ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วง 2-3% เมื่อเทียบกับปี 64 จากทุกสาขาการผลิต จากปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาครัฐมีความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดที่ดี มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตและยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าเกษตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม KWM ได้มีการเพิ่มเครื่องจักรในการผลิตไลน์ใหม่ ซึ่งเป็นไลน์การผลิตที่ 3 ในระบบออโตเมชั่น ที่สามารถลดการใช้แรงงานและสามารถผลิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มคลังสินค้า เพื่อรองรับความต้องการสินค้าช่วงไฮซีซั่น ที่มีความต้องการสินค้ามากกว่าช่วงเวลาปกติ 2-3 เท่าตัว ซึ่งคลังสินค้าดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2565 นี้ และจากความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าการเติบโตรายได้รวมในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 10-15 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ KWM เผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้จากการขาย จำนวน 175.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 14.15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 15.87 ล้านบาท ลดลง 9.17 ล้านบาท หรือลดลง 36.62% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
สำหรับสาเหตุที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาจากภาคเศรษฐกิจการเกษตรที่ ขยายตัว 4.4% ในไตรมาสแรก ประกอบกับฝนที่ตกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 64 ถึงต้นปี 65 ส่งผลให้สภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้การผลิตพืชเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว หนุนให้การเติบโตของยอดขายทั้งในส่วนของบริษัทฯและบริษัทย่อยเพิ่มขึ้นในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้นสินค้ากลุ่มใบเกลียวที่ยอดขายลดลง 41.17% ในขณะที่สินค้ากลุ่มโครงผาล เป็นกลุ่มที่มียอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 52.63% สำหรับสินค้ากลุ่มอื่นๆ มียอดขายเพิ่มขึ้น อยู่ในช่วง 15-20% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้โดยรวมแล้วรายได้จากการขายเติบโตขึ้นคิดเป็น 14.15% ของรายได้จากการขายในงวดเดียวกันของปี 64
สำหรับไตรมาสแรกของปี 65 ต้องยอมรับว่าต้นทุนการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 25.77% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากราคาเหล็ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของบริษัทเป็นหลักปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาสินค้าอื่นๆมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจึงส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น รวมไปถึงสัดส่วนการขายใบเกลียวที่ลดลง เนื่องจากใบเกลียวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นดีที่สุดในทุกผลิตภัณฑ์ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้